วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ปริศนา กะโหลกแก้ว






ว่ากันว่ามีกะโหลกแก้วลึกลับอันทรงพลังจากอารยธรรมแห่งอดีตอยู่ 13 หัว หากใครได้ครอบครองมันทั้งหมด อาจจะสามารถเป็นเจ้าโลกได้ด้วยอำนาจอันมหัศจรรย์!!!

ตำนานว่าด้วยปริศนาแห่งกะโหลกแก้วเป็นเรื่องที่เล่าลือกันมานานแล้ว และเมื่อพิพิธภัณฑ์ มนุษยชาติ แห่งพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษได้มาหัวหนึ่งใน พ.ศ. 2441 หรือเมื่อ 110 ปีก่อน ก็ยิ่งทำให้คำเล่าลือโด่งดังขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใครได้จ้องมองเข้าไปในดวงตาของกะโหลกแก้ว ก็มักอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงพลังอำนาจบางอย่าง พลังที่พนักงานของพิพิธภัณฑ์ไม่ยอมเข้าไปในห้องที่จัดแสดงกะโหลกนี้ในยามค่ำคืน หากไม่เอาผ้าดำปิดดวงตากลวงคู่นั้นไว้เสียก่อน

ไม่มีใครรู้แน่ว่ากะโหลกแก้วปริศนาขนาดเท่าๆ กับกะโหลกคนจริงๆ นี้มาจากไหน พิพิธภัณฑ์ซื้อมันมาจากร้านขายเครื่องเพชรทิฟฟานี่แห่งนิวยอร์ก ซึ่งไม่ได้ระบุถึงที่มาอันชัดเจน แต่เป็นที่เข้าใจว่ากะโหลกแก้วนี้น่าจะเป็นโบราณวัตถุจากอารยธรรมแอซเท็ค ซึ่งนายทหารบางคนได้มันมาเมื่อครั้งไปร่วมรบที่เม็กซิโก ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19






ในขณะที่ปริศนาของกะโหลกแก้วแห่งพิพิธภัณฑ์นี้ยังไม่สามารถคลี่คลายได้ ก็มีการค้นพบกะโหลกแก้วอีกหัวหนึ่งใน พ.ศ. 2467 เมื่อแอนนา มิทเชลล์-เฮดจ์ส บุตรีบุญธรรมของเฟ็ดเดอริค อัล-เบิร์ท มิทเชลล์-เฮดจ์ส นักผจญภัยและนักสำรวจชื่อดังได้พบมันเข้าโดยบังเอิญ

ตอนนั้นเฟ็ดเดอริคและทีมงานกำลังสำรวจเมืองโบราณลูบานทูมในบริติชฮอนดูรัสแล้วจู่ๆ แอนนาก็พบกะโหลกแก้วเข้าในวันเกิดครบรอบปีที่ 17 ของเธอ ทำให้คนขี้สงสัยบางรายอดค่อนแคะไม่ได้ว่าที่จริงคุณพ่อผู้แสนดีอาจจะพบมาก่อนแล้ว แต่อยากให้ของขวัญวันเกิดสุดเซอร์ไพรส์แก่ลูกสาว ก็เลยแอบเอาไปวางไว้ให้แอนนาได้ชื่อว่าเป็นผู้ค้นพบ

แต่ไม่ว่าการพบครั้งแรกจะเป็นอย่างไรก็ตาม กะโหลกแก้วที่เรียกขานกันต่อมาว่ากะโหลกของมิทเชลล์-เฮดจ์สนี้ ก็เป็นหนึ่งในกะโหลกแก้วที่โด่งดังที่สุดในโลก ด้วยความเชื่อที่ว่ามันเป็นมรดกตกทอดมาจากอดีตอันไกลโพ้น จากอารยธรรมขั้นสูงที่สูญสลายไปแล้ว และหากมองดวงตาแก้วปริซึมนี้ให้ดีจะเห็นภาพของอนาคตปรากฏขึ้น






กะโหลกของมิทเชลล์-เฮดจ์สนี้ทำจากแก้วบริสุทธิ์ ผ่านการขัดเกลาอย่างสมบูรณ์ไม่มีที่ติ สันนิษฐานว่าผู้ที่สร้างขึ้นต้องใช้เวลากว่า 150 ปี จากรุ่นสู่รุ่นกว่าจะเกิดเป็นกะโหลกปริศนาที่มีการประมาณการอายุกันคร่าวๆ ว่าน่าจะเก่าแก่กว่า 3,600 ปี เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ช่วยรักษาเยียวยาความเจ็บป่วย แต่ในขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นเครื่องมือกำหนดความตายของผู้ที่กระทำสิ่งไม่เหมาะสม ทำให้กะโหลกนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กะโหลกมรณะ

นักวิทยาศาสตร์ของพิพิธภัณฑ์อังกฤษได้ตรวจสอบกะโหลกทั้งสอง และพบว่ามีลักษณะทางสรีรวิทยาร่วมกัน กล่าวคือน่าจะเป็นกะโหลกที่ทำจำลองขึ้นมาจากหัวกะโหลกคนจริงๆ ที่เป็นผู้หญิงคนเดียวกัน เพราะเมื่อถ่ายภาพเชิงซ้อนแล้วพบว่าแนวของกระดูกเข้ากันพอดี หรืออีกนัยหนึ่ง กะโหลกแก้วอันใดอันหนึ่งถูกทำขึ้นมาก่อน แล้วเป็นแบบให้อีกอันหนึ่ง

กะโหลกแก้วทั้ง 2 ชิ้น ที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นพี่น้องกันนี้ นับเป็นกะโหลกแก้วที่ถูกจับตามองที่สุด และถูกนำไปตรวจสอบด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ นานามากที่สุด แต่ก็ยังไม่มีคำตอบอะไรที่ชัดเจนเกี่ยวกับที่มาหรือวัตถุประสงค์ที่มันถูกสร้างขึ้น และหลังจากที่กะโหลกแก้วทั้งสองกลายเป็นของมีชื่อเสียงขึ้นมา ก็มีการประกาศการค้นพบกะโหลกแก้วในลักษณะคล้ายๆ กันอีกเป็นจำนวนมาก






แต่ด้วยความเชื่อจากตำนานเก่าแก่ที่กล่าวถึงกะโหลกแก้ว 13 หัว ทำให้ต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดว่า ไอ้ที่พบกันมากๆ เป็นของจริงหรือของเก๊ และเท่าที่ปรากฏมาหลายหัวก็เป็นของทำเทียมเลียนแบบด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่ก็มีอีกหลายหัวเหมือนกันที่ได้การยอมรับว่าเป็นของเก่าที่มีพลังบางอย่างแฝงอยู่

กะโหลกแก้วที่มีชื่อเสียงตามมิทเชลล์-เฮดจ์สมาติดๆ คือกะโหลกที่เคยเป็นของลามะทิเบตนามนอร์วู เชน ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากสุสานมายันในกัวเตมาลา ท่านลามะใช้กะโหลกนี้เป็นเครื่องมือในการรักษาผู้ป่วยอย่างได้ผล จนกระทั่งก่อนที่ลามะนอร์วู เชน จะมรณภาพก็ได้มอบกะโหลกนี้ไว้ให้แก่โจแอน พาร์คส์ ชาวเท็กซัส ซึ่งฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านมานานหลายปี หลังจากที่ท่านได้ใช้กะโหลกนี้ช่วยรักษาอาการป่วยลูกสาวของเธอมาแล้ว

โจแอนซึ่งได้กะโหลกนี้มาใน พ.ศ. 2523 อ้างว่ากะโหลกแก้วสื่อสารกับเธอ และพร่ำบอกว่าเขาชื่อแม็กซ์ และเขามีความสำคัญต่อมนุษยชาติ และแม็กซ์ก็ประกาศศักดาให้เห็นมาแล้วหลายครั้งด้วยการช่วยเหลือผู้คนที่เจ็บป่วย กะโหลกแก้วที่สำคัญอีกหัวหนึ่งชื่อชานารา ซึ่งเป็นของนิค โนเซอริโน ซึ่งไม่เพียงจะมีกะโหลกแก้วในครอบครองเท่านั้น แต่เขายังเป็นผู้ที่ศึกษาอย่างจริงจังจนเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ด้วย






นิคได้กะโหลกนี้มาจากการขุดค้นเมืองโบราณที่เม็กซิโก และเมื่อได้มันมา เขาก็เห็นภาพนิมิตว่ากะโหลกตามตำนานมี 13 หัว โดย 12 หัว เป็นบริวารของกะโหลกที่เป็นหัวหน้าใหญ่ มีการตั้งทฤษฎีว่ากะโหลกเหล่านี้ไม่ใช่ของแอซเท็คหรือมายันอย่างที่เคยเข้าใจ แต่เป็นสิ่งที่หลงเหลือมาจากแอตแลนตีส อาณาจักรปริศนาที่ยังหาไม่พบ และกะโหลกเหล่านี้ทำหน้าที่ในการบันทึกภาพต่างๆ ซึ่งหลายคนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าของกะโหลกก็อ้างว่าในบางเวลาที่จังหวะและแสงเหมาะๆ ก็เคยเห็นภาพจากกะโหลกแก้วมาแล้ว โดยเฉพาะกะโหลกแก้วของมิทเชลล์-เฮดจ์ส ที่ว่ากันว่ามีคนเห็นภาพยูเอฟโอสะท้อนออกมา

มีเสียงเล่าลือว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่กะโหลกที่แท้จริงทั้ง 13 หัว ถูกค้นพบและนำมาไว้ด้วยกันก็จะเห็นภาพของอนาคต แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าเรายังไม่สามารถพิสูจน์ความเชื่อนี้ เพราะยังมีเพียงไม่กี่หัวที่สามารถบอกได้ว่าเป็นของแท้ เช่น แม็กซ์และชานารา ซึ่งเคยถูกวิเคราะห์จากนักวิทยาศาสตร์แล้วคิดว่าน่าจะมีอายุราวๆ 5,000 ปี และของมิทเชลล์เฮดจ์สที่เก่าแก่เหมือนกัน ในขณะที่กะโหลกที่เคยโด่งดังมากอีกหัวหนึ่งที่พิพิธภัณฑ์อังกฤษนั้น เพิ่งจะมีการตรวจสอบซ้ำด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ และผลปรากฏออกมาว่าน่าจะเป็นของที่ทำปลอมขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19 นี่เอง ทำเอานักโบราณคดีที่ชอบไปนั่งจ้องตากับกะโหลกหัวนี้เซ็งไปตามๆ กัน

แหล่งอ้างอิง  http://hilight.kapook.com/view/24065

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น