วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ปริศนาเขาวงกต



เมื่อสี่พันกว่าปีก่อนโน้น เกาะครีต(CRETE) ซึ่งเป็นเกาะหนึ่งในทะเลเมดิเตอร์-เรเนียน มีสภาพเป็นศูนย์กลางแห่งอารยธรรมไมโนอัน อันรุ่งเรือง นับได้ว่าดินแดนในแถบนี้มีวัฒนธรรมประเพณี และความมั่งคั่งมาก่อนกรีกหลายศตวรรษ ทว่าในท้ายที่สุด ดินแดนอารยธรรมนี้ก็พบกับความพินาศล่มจมจากการที่เกาะธีรา (Thira เดี๋ยวนี้คือเกาะซานโครินี อยู่ห่างออกไป 70 ไมล์) อันเป็นเกาะสำคัญของแผ่นดินได้ถูกคลื่นยักษ์จากแรงภูเขาไฟระเบิดถล่มทลาย สร้างความเสียหายให้จนย่อยยับ อารยธรรมไมโนอันก็จางหายไปจากโลกจากนั้น เป็นต้นมา(เรื่องนี้อาจเป็นต้นเค้าของตำนานแอตแลนติส ซึ่งถูกเทพลงโทษด้วยการส่งน้ำมาท่วมเกาะก็เป็นได้)

ครีตไม่มีร่องรอยอะไรหลงเหลืออยู่ นอกจากตำนานกษัตริย์ ไมนอส และ มิโนทอร์ (Minotaur) สัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งวัว จอมตะกละ อาศัยอยู่ในเขาวงกตใต้ พระราชวัง แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านมาจนกระทั่ง ถึงศตวรรษที่ 20เซอร์ อาเธอร์ อีแวน ผู้หลงใหลตำนาน กลับพลิกแผ่นดินเกาะครีต หาเมืองหลวง คนอสสอสเผยขึ้นปรากฏแก่สายตา ผู้คนทั่วโลกสำเร็จ

ใครๆก็พากันตื่นเต้น คิดว่าตำนานเป็นจริง


ที่นี่ เซอร์อีแวน พบซากเมืองขนาดใหญ่ อยู่ใกล้กับท่าเรือ เมื่อประมาณเอาจากสิ่งก่อสร้างหลงเหลือต่างๆ คนอสสอสคงเคยมีพลเมืองถึง 100,000 คน และคงเป็นเมืองมั่งคั่งร่ำรวยเอาการ โดยเฉพาะถ้าจะพิเคราะห์จากซากสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งโดดเด่นที่สุด สิ่งก่อสร้างหลังนี้เป็นอาคารเล่นระดับ มีห้องนับเป็นร้อย และมีบางส่วนอยู่ใต้ดิน ส่วนที่สมบูรณ์ที่สุดแสดงให้เห็นว่า ผนังมีการประดับตกแต่งด้วยภาพเฟรสโกสีสดใส เป็นเรื่องราวของชีวิตในท้องทะเล นางระบำ และการบูชาวัว

นอกเหนือจากนี้ ในสิ่งก่อสร้าง ยังมีสิ่งของต่างๆ อีกมาก ทั้งยุ้งทำด้วยหิน เศษเครื่องดนตรี ขวานทำด้วยบรอนซ์ และหัวธนู กระดานตารางหมากรุก ขนาดใหญ่ ราวเมตรคูณเมตร ทำจากทองคำฝังงา แก้วและดินเผาเคลือบมัน มีห้องโถงด้านหน้า ก็มีการปูหินอลาบาสเตอร์ ขัดมัน แถมด้วยเสาหินอันแสดงลักษณะ สิ่งก่อสร้างของชาวไมโนอันอีกด้วย


เซอร์ อีแวน และนักโบราณคดีหลายคน จึงสรุปเอาจากหลักฐานที่พบว่า ที่นี่ต้องเป็นพระราชวัง ของกษัตริย์เป็นแน่แท้ ผู้คนต่างพากันเชื่อถือเซอร์ อีแวน อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง จนกระทั่งผู้เชี่ยวชาญชาวเยอรมัน ฮันส์ จอร์จ วันเดอลิช มีความเห็นแตกต่างออกไป

เขาว่าสิ่งที่เซอร์ อีแวน พบไม่น่าใช่ พระราชวังหรอก แต่เป็นสุสานขนาดใหญ่มากกว่า!

วันเดอลิช อ้างว่า ไหขนาดใหญ่ที่นัก โบราณคดีพบ และคิดว่าเอาไว้สำหรับเก็บเมล็ดพืชน้ำมันและไวน์ อันที่จริงแล้วน่าจะเป็นไหสำหรับใส่ศพ ซึ่งคนโบราณนิยมดองร่างไว้ด้วย น้ำผึ้ง ส่วนหินที่คิดว่าเป็นยุ้งก็น่าจะเป็นตัวสุสานเสียเอง เช่นเดียวกับภาพเขียน ก็คงไม่ได้มีไว้ตกแต่ง แต่น่าจะเป็นวิธีบอกวิญญาณถึงการเปลี่ยนภาวะไปสู่ชีวิตหลังความตาย

วันเดอลิชยืนยัน (ส่วนจะนั่งยันด้วยหรือเปล่า เอกสารไม่ได้บอกไว้) ว่า ที่นี่ต้องไม่ใช่พระราชวังแน่ ด้วยเหตุที่ประการแรก สิ่งก่อสร้างตั้งอยู่ในบริเวณป้องกัน การรุกรานของศัตรูจากแผ่นดินได้ยาก ข้อสอง ไม่มีน้ำพอสำหรับคนจำนวนมาก ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ประการที่สามที่ร้ายที่สุด ไม่ยักมีครัวและคอกม้าอยู่ตรงไหนเลย หรือว่าคนที่อยู่ที่นี่ไม่ต้องกิน ไม่ต้องเดินทาง


เขายังเน้นต่อไปอีกว่า ห้องที่เชื่อกันว่าเป็นห้อง สำหรับพระราชวงศ์หลายห้อง ก็ชื้นแฉะไม่มีหน้าต่าง และยังอยู่ต่ำกว่าพื้นดินเสียอีก ใครหนอจะทนอุดอู้อยู่ในห้องอับ ไม่ออกมาชื่นชมธรรมชาติอันน่ารื่นรมย์ ของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้ ไม่น่าจะใช่ที่ที่คนอยู่เลยจริง จริ๊ง

แต่สำหรับเราคนที่สนใจฟัง คงได้แต่ทำตาปริบๆไปพลางก่อน จนกว่าจะมีใครสักคนหาหลักฐานที่น่าเชื่อถือมาหักล้างให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลยว่า ระหว่างเซอร์ อาเธอร์ อีแวน กับ ฮันจ์ จอร์จ วันเดอลิช ใครจะแน่กว่ากัน...แหะ แหะ

เกร็ดตำนานคนครึ่งวัว

ที่มาของความเชื่อเรื่องเขาวงกต มาจากตำนานกรีกเรื่องหนึ่ง กล่าวถึงพระนางปาซิปาอี มเหสีของราชาไมนอส ถูกสาปให้ไปหลงรักวัวขาว ที่สามีของเธอไม่ยอมแก้บนบูชายัญไปให้โป-ไซดอนเจ้าแห่งทะเล ผลพวงของความรักต่างสปีชี่ ทำให้เกิดสัตว์ ประหลาดครึ่งคนครึ่งวัวเรียกกันว่า มิโนทอร์ (Minotaur) เจ้าตัวนี้แหละที่ทำให้พระราชาแสนจะอับอาย เพราะว่ามันประจานความผิดของพระองค์ในแง่ไม่ รักษาสัญญา เลยจำเป็นต้องจับเจ้าเด็กประหลาดขังไว้ในห้องเขาวงกตที่แดดาลุสออกแบบ


กาลต่อมา เมื่อราชาไมนอส ยกกองทัพไปตีเอเธนส์ชนะ พระองค์เรียกร้อง บรรณาการเป็นหนุ่มสาว ชาวเอเธนส์อย่างละเจ็ดคนทุกปี เอาไปให้มิโนทอร์รับประทาน เรื่องจบลงตรงที่ครั้งสุดท้าย วีรบุรุษเธสซีอุส เดินทางมาเป็นบรรณาการมีชีวิต ได้ฆ่าสัตว์ประหลาด ด้วยกำลังมหาศาลของเขา และสามารถหาทางออกมาจากเขาวงกต ด้วยอุบายกลุ่มด้ายที่อรีแอดนี่บอกให้....

ตำนานนี้ดูเหมือนจะเป็นนิทานไร้ความจริง แต่พอพระราชวังที่คนอสสอสเผยโฉมขึ้น เราจะเห็นทันทีว่า ออกแบบอาคารพระราชวังนี้ มันซับซ้อนเสียจนคนไม่เคยไปมีสิทธิ์หลงเขาได้ง่ายๆ ไหน จะมีบันไดอยู่หลายอันในระยะใกล้ๆกัน แต่กลับเชื่อมห้องต่างๆในต่างชั้น ไหนเฉลียงหลาย ที่นำมาจากลานแห่งหนึ่งไปสู่ทางเลี้ยวและหักมุม ไหนจะห้องที่สร้างไว้อย่างแปลกๆ ความซับซ้อนชวนงงเช่นนี้ อาจเป็นรากฐานความเชื่อเรื่องเขาวงกต (Labyrinth) ได้ไม่ยากเลย
แหล่งอ้างอิง  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น