วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ที่มาของ 'ทางม้าลาย'


Road















ถามตอบรอบโลกวันนี้ คุณอำนาจ เกิดใคร่อยากจะทราบถึงที่มาของ 'ทางม้าลาย' หลังจากได้อ่านต้นกำเนิดไฟเขียว-ไฟแดง จึงฝากคำถามผ่านทางคอลัมน์ของเรา ซึ่งเราก็ไปค้นหาคำตอบมาให้เรียบร้อยแล้วในวันนี้

สัญลักษณ์ของทางลายขาว-ดำ ที่มีไว้สำหรับให้คนข้ามถนน หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า 'ทางม้าลาย' นั้นแท้จริงแล้วในตอนแรกหาได้เป็นสีขาวกับสีดำอย่างที่เราเห็นในปัจจุบันไม่

เดิมทีแถบสีสัญลักษณ์ของทางคนข้ามนี้เคยเป็นสีน้ำเงินและสีเหลืองมาก่อน โดยมีการนำมาใช้อย่างเป็นทางการครั้งแรก (หลังทำการทอดลองใช้แล้ว) ตามท้องถนนของประเทศอังกฤษราว 1,000 จุด เมื่อปี 1949 เพื่อบ่งบอกให้ผู้ใช้รถใช้ถนนทราบว่าบริเวณดังกล่าวเป็นทางที่อนุญาตให้คนสามารถข้ามถนนได้

แต่ก่อนนั้น สัญลักษณ์ของทางข้ามนี้จะอยู่คู่กับ 'เสาโคมไฟสัญญาณบีลิสชา' ซึ่งถือกำเนิดมาก่อนหน้านี้แล้วตั้งแต่ปี 1934 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสัญญาณให้พาหนะที่สัญจรอยู่บนท้องถนนหยุดวิ่งชั่วขณะเพื่อให้คนที่อยู่สองข้างทางได้เดินข้ามถนนอย่างปลอดภัย โดยพาหนะต่างๆ จะหยุดก็ต่อเมื่อโคมไฟสัญญาณบีลิสชาซึ่งมีสีส้มส่องสว่างขึ้น

ต่อมา เลสลี ฮอร์น บีลิสชา รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมแดนผู้ดี ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มไอเดียนำโคมไฟสัญญาณดังกล่าวมาติดตั้งก็คิดว่าน่าจะมีการเพิ่มสัญลักษณ์ที่เป็นแถบสีบนพื้นถนนบริเวณที่มีการติดตั้งโคมไฟสัญญาณเพื่อช่วยให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเห็นได้เด่นชัดมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ สัญลักษณ์ของทางข้ามที่มีแถบสีจึงถือกำเนิดขึ้น

จากนั้นก็มีการทดลองใช้สีขาว-แดง และสีขาว-ดำ ทาเป็นสัญลักษณ์ แล้วในปี 1951 สัญลักษณ์ของทางข้ามที่เป็นแถบสีขาว-ดำก็ถูกนำมาใช้คู่กับโคมไฟสัญญาณบีลิสชาอย่างเป็นทางการครั้งแรก พร้อมกับได้รับการขนานนามว่า 'ทางม้าลาย' เนื่องจากมีลักษณะเหมือนลายของม้าลายนั่นเอง

ต่อมาอังกฤษได้นำไอเดียดังกล่าวไปใช้กับประเทศอาณานิคมของตัวเอง เช่น สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เป็นต้น ทางม้าลายจึงกลายเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก และกลายเป็นเครื่องหมายจราจรที่เป็นสากลไปโดยปริยาย


แหล่งอ้างอิง

 http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iamlady&month=12-2010&date=20&group=13&gblog=96

ที่มาของ "สัญญาณไฟจราจร"




เท่าที่มีการจดบันทึกทางประวัติศาสตร์เอาไว้ ต้นกำเนิดไฟสัญญาณจราจรแห่งแรกบนโลกอยู่ที่ประเทศอังกฤษ เมื่อปี 1868 เกิดขึ้นก่อนที่คนเราจะรู้จักกับรถที่ใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเสียอีก โดยมี เจ.พี. ไนต์ วิศวกรชาวอังกฤษเป็นเจ้าของผลงาน

วัตถุประสงค์แรกเริ่มที่ไนต์สร้างไฟสัญญาณจราจรขึ้นมาก็เพื่อใช้ควบคุมการสัญจรของรถม้า และคนเดินเท้าที่เดินผ่านไปผ่านมาบริเวณสี่แยก ที่เริ่มจะพลุกพล่านมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคนั้น โดยสถานที่ที่ได้รับเกียรติให้ทำการติดตั้งผลงานชิ้นแรกของไนต์ก็คือ สี่แยกใจกลางมหานครลอนดอนบริเวณหน้ารัฐสภาอังกฤษ นั่นเอง

รูปลักษณ์ของไฟสัญญาณจราจรฝีมือไนต์นั้นออกจะดูแปลกตาไปเสียหน่อยหากเทียบกับปัจจุบัน เพราะมันจะมี 2 แขน เมื่อใดที่แขนทั้ง 2 ข้างของมันเคลื่อนตัวขนานกับพื้นดินหมายความว่า พาหนะที่กำลังสัญจรอยู่บริเวณสี่แยกจะต้องหยุดทันที ทว่า หากแขนทั้ง 2 ข้างของสัญญาณจราจรเคลื่อนตัวทำมุม 45 องศา จะหมายความว่า ให้ผู้ใช้พาหนะทุกชนิดใช้ถนนอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยในตอนกลางคืนจะมีไฟสีแดงและสีเขียวซึ่งได้จากพลังงานแก๊สบนแขนทั้ง 2 ข้างเป็นตัวให้สัญญาณเพื่อให้มองเห็นเด่นชัด โดยแสงสีแดงหมายถึง 'หยุด' ส่วนแสงสีเขียวหมายถึง 'ให้ระวัง'

ต่อมาวิวัฒนาการของไฟสัญญาณจราจรก็ถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ สำหรับไฟเขียว-ไฟแดง แบบใช้พลังงานไฟฟ้าเริ่มมีใช้เป็นครั้งแรกในเมือง ซอลต์เลกซิตี รัฐยูทาห์ ประเทศสหรัฐฯ ช่วงปี 1912 โดย เลสเตอร์ ไวร์ พนักงานตำรวจชาวอเมริกันเป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้นด้วยมือของเขาเอง

ในช่วงแรกไฟสัญญาณจราจรที่ใชักันอยู่จะมีแค่ไฟเขียว และไฟแดง เท่านั้น จนกระทั่ง ในปี 1920 วิลเลียม พอตต์ ตำรวจจราจรแห่งดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน ได้ออกแบบไฟสัญญาณจราจรรูปแบใหม่ขึ้น พร้อมกับเพิ่มไฟสีอำพัน (สีเหลือง) เข้าไปอีกหนึ่งสี เพื่อเป็นสัญญาณเตือนผู้ใช้พาหนะให้ระวัง และชะลอตัวก่อนที่จะหยุด หรือ ออกตัว

จากนั้นอีกไม่กี่ปีต่อมา ไฟสัญญาณจราจรแบบอัตโนมัติก็ถูกประดิษฐ์ขึ้น โดยเป็นฝีมือของ การ์แรตต์ มอร์แกน ซึ่งนำมาใช้ครั้งแรกในเมืองเคลฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ก่อนที่จะแพร่หลายไปทั่วโลก

และทั้งหมดนี้ก็คือวิวัฒนาการของไฟสัญญาณจราจรที่ถูกพัฒนาต่อมาเรื่อยๆ และมีใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน


แหล่งอ้างอิง
http://jigsowbn.blogspot.com/2009/10/blog-post_13.html

ทะเลสาปมรณะ















ทะเลสาบไนยอส ทะเลสาบที่เกิดจากปากปล่องภูเขาไฟที่สงบแล้วในประเทศแคเมอรูน ที่เห็นอยู่ในภาพนี้ได้ชื่อว่าเป็น "เพชฌฆาตเงียบ" ที่น่ากลัวจนทำให้พื้นที่นี้ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในดินแดนที่อันตรายที่สุดของโลกพื้นที่หนึ่ง สาเหตุสำคัญของอันตรายที่เกิดขึ้นจากทะเลสาบดังกล่าวนี้ เป็นเพราะลึกลงไปใต้ก้นทะเลสาบมีแอ่งแม็กมา หรือ หินที่หลอมละลายด้วยความร้อนจากใต้ดิน อยู่ลึกลงไปใต้ผิวน้ำลึกราว 200 เมตร ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้รั่วไหลแทรกซึมขึ้นสู่ทะเลสาบที่อยู่เหนือมันขึ้นไป ภายใต้แรงกดดันของมวลน้ำจำนวนดังกล่าว คาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยออกมา ถูกกักให้ละลายปนอยู่ในน้ำ ทำนองเดียวกับโซดาในขวดนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม เมื่อมวลน้ำเกิดการเปลี่ยนแปลงฉับพลัน เหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ปี 2529 ส่งผลให้มวลก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ระเบิดพรวดขึ้นเหนือผิวน้ำ รวมตัวกันแทรกแทนที่อากาศเหนือผิวน้ำในบริเวณทะเลสาบ เมื่อมีมวลมากขึ้นก็เริ่มทะลักไหลลงมาตามไหล่เขา ส่งผลให้ผู้คนที่อยู่อาศัยโดยรอบทะเลสาบ 1,700 คน กับสัตว์อีกหลายหมื่นตัวในหุบเขาโดยรอบทะเลรัศมี 24 กิโลเมตร เสียชีวิตทั้งหมด

ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์แก้ปัญหาด้วยการต่อท่อหลายๆ ท่อขึ้นมาจากก้นทะเลสาบให้ทำหน้าที่เป็นเหมือนปล่องระบายคาร์บอนไดออกไซด์ทีละเล็กทีละน้อย อย่างไรก็ตาม จอร์จ คลิง นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกนก็ยังชี้ว่า ไนยอสยังเปี่ยมด้วยอันตรายอยู่ดี เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ก๊าซจะสะสมในปริมาณที่มากเกินกว่าที่ท่อจะระบายได้ขึ้นมา


แหล่งอ้างอิง  
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1347253242&grpid=03&catid=03

5มหันตภัยจากจักรวาล รุกราน-ทำลายล้างโลกมนุษย์




"โลกสีฟ้า" หรือ "แพลเน็ต เอิร์ธ" ทุกวันนี้มีปัญหารุมเร้ามากมายและส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากน้ำมือ "มนุษย์" ผู้อยู่อาศัย

ทั้งการเผาผลาญทรัพยา กร การก่อมลพิษ-มลภาวะ วิกฤตสิ่งแวดล้อม ฯลฯ

จนส่งผลก่อให้เกิดปรากฏ การณ์ร้ายแรงที่เรียกว่า "ภัยโลกร้อน" ทำให้สภาพอากาศแปรปรวนไปทั่วทุกภูมิภาค
แต่ประชาคมโลกก็ยังนิ่งเฉย ไม่มีมาตรการความร่วมมือใดๆ ออกมาเป็นรูปธรรม

ขณะที่ "ฟิล เพลต" นักดาราศาสตร์และนักฟิสิกส์ชื่อดังชาวอเมริกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านพยากรณ์จุดจบของโลก เตือนว่า

มนุษย์ไม่ต้องเร่งร้อนทำลายล้างโลกกันนักหรอก
เพราะสักวันหนึ่งในอนาคตโลกก็จะถึงจุดจบด้วยตัวมันเองอยู่ดีด้วยวิถีแห่งจักรวาล ฉะนั้นยามมีโอกาสหายใจอยู่บนโลกจงทะนุถนอมและช่วยกันดูแลรักษาเอาไว้เถิด โดยความเป็นไปได้ที่วงจรของจักรวาลจะทำให้เกิด "วันสิ้นโลก" ตามทัศนะของฟิลมี 5 ลักษณะด้วยกัน ดังนี้!



ดาวเคราะห์น้อยพุ่งชน

ฟิล เพลต ระบุว่า ในบรรดาวัตถุในห้วงอวกาศที่มีโอกาสพาโลกไปสู่หายนะสูงสุด ก็คือ

ดาวเคราะห์น้อย หรือ Asteroid

ปัจจุบันโลกตั้งอยู่ท่ามกลางแนวพุ่งชนของวัตถุในอวกาศน้ำหนักมากกว่า 100 ตัวเป็นประจำทุกวัน

และความเสี่ยงโดนพุ่งชนจนเกิดอันตรายร้ายแรง ตกประมาณ 200-300 ปีต่อครั้ง

1.ดาวละเบิด

2.แบล็กโฮล

"ถ้าคุณลองไปถามไดโนเสาร์ ซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้วดูว่าดาวเคราะห์น้อยน่ากลัวขนาดไหน มันคงบอกให้คุณระวังตัวเต็มที่"

ฟิลกล่าว และว่า ในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์เองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหานี้ เช่น มีการรวมตัวในนามมูลนิธิ "บี 612" เพื่อระดมสติปัญญาหาทางป้องกันไม่ให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องเหลือแต่โครงกระดูกในพิพิธภัณฑ์เหมือนไดโนเสาร์

โดยวิธีขจัดไม่ให้ดาวเคราะห์น้อยก้อนมหึมาพุ่งชนใส่โลก ได้แก่ การส่งยานอวกาศไปชนหัวดาวเคราะห์น้อยดวงนั้นๆ เพื่อเปลี่ยนวงโคจรและส่งยานอีกลำไปสร้างแรงดึงดูด ดึงดาวเคราะห์น้อยออกไปให้ไกลจากโลก


ดาวระเบิด
เมื่อ "ดาวฤกษ์" ที่มีมวลขนาดใหญ่มากๆ ถึงจุดจบสิ้นอายุขัยนั้น จะเกิดปรากฏการณ์ "ซูเปอร์โนวา"

หรือการระเบิดที่ปลดปล่อยพลังงานและคลื่นรังสีออกมาจำนวนมหาศาล เมื่อมองจากกล้องโทรทรรศน์ดูสว่างวาบแสนสวยงาม แต่แฝงไปด้วยอันตราย ดวงดาว หรือวัตถุใดๆ ที่อยู่ใกล้จะได้รับผลกระทบไปเต็มๆ ถึงขั้น "ตาย" ตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม เคราะห์ยังดีที่โอกาสเกิดซูเปอร์โนวาใกล้ๆ โลกมนุษย์ถือว่ามีน้อยมาก คาดว่าช่วงเวลาใกล้ที่สุดที่โลกมีความเสี่ยงกระเด็นกระดอนเพราะซูเปอร์โนวา คือ เมื่อ 2-3 ล้านปีก่อน

ถามเมื่อรู้อย่างนี้แล้วจะป้องกันได้อย่างไร
คำตอบสั้นๆ จากฟิล คือ ไม่มี ฉะนั้นอย่ากังวลใจไปเลย ถ้ามันจะต้องเกิดขึ้นจริงๆ

ภาพลักษณะอาทิตย์ก่อนดับ


พระอาทิตย์ดับ

ดวงอาทิตย์ มีความสำคัญต่อโลกมนุษย์มากถึงมากที่สุด

ทำหน้าที่เป็นทั้งแหล่งให้พลังงาน แหล่งกำเนิดชีวิต และให้ความอบอุ่น แต่ในเชิงฟิสิกส์ประเมินกันว่า ขณะนี้วงจรชีวิตของดวงอาทิตย์ถ้าเทียบกับคนเราก็เดินมาถึง "ครึ่งทาง"แล้ว  (4.5 พันล้านปี)

พูดง่ายๆ ก็คือ เริ่มเข้ายุคนับถอยหลังสู่จุดจบ หรือยุคที่หมดสิ้นไม่เหลือหลอพลังงาน และ "ดับ" ไปกลายเป็นดาวสีแดงเฉยๆ "จากนี้คงเป็นหน้าที่ของเหลนๆๆๆๆๆและเหลน ที่ต้องคิดวิธีแก้ปัญหาพระอาทิตย์ดับกันต่อไป"


"แบล็กโฮล" หลุมดำกลืนกินทุกสรรพสิ่ง

หนังฮอลลีวู้ดอาจสร้างความเข้าใจ-การรับรู้ผิดๆ เกี่ยวกับ "หลุมดำ" หรือ "แบล็กโฮล" ในห้วงจักรวาล ว่า

เป็นจอมอันธพาล ไล่ตระเวนกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าในอวกาศ โดยเฉพาะดาวเคราะห์ต่างๆ

แต่ความเป็นจริงหลุมดำก็มีทิศทางการโคจรใน "ทางช้างเผือก" เฉกเช่นเดียวกับดวงดาวอีกหลายแสนล้านดวง แต่อย่างไรก็ดี มีความเป็นไปได้ที่แบล็กโฮลหลุมใดหลุมหนึ่งอาจโคจรมาใกล้โลกมากจนเกินไป

ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริงวงโคจรโลกจะเสียกระบวน ทำให้โลกหล่นตุ้บเข้าไปอยู่ในดวงอาทิตย์ หรือถูกกระแทกออกไปลอยคว้างอยู่ในห้วงอวกาศอันไกลโพ้น (แล้วลองคิดดูเล่นๆ ก็ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนั้น?)
มีความเป็นไปได้น้อย ที่แบล็กโฮลจะโผล่มากลืนโลกหายไปทั้งใบ หรือถ้ามาป้วนเปี้ยนแถวๆ นี้จริง น่าจะใช้เวลาอีกนับล้านล้านปีจุดจบตามกฎธรรมชาติทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติ ไม่ว่าจะดีหรือร้ายต้องเดินทางไปถึงจุดจบ

"จักรวาล" (Universe) ของเราเองก็หนีไม่พ้นกฎ หรือสัจธรรมข้อนี้

จากการคำนวณทางฟิสิกส์ ปัจจุบันจักรวาลของเรามีอายุประมาณ 13,000 ล้านปี แต่หลังจากนั้นไกลออกไปอีกนับล้านล้านปี ล้านล้านล้านปี หรืออภิมหาล้านล้านล้านปี ฯลฯ อะไรจะเกิดขึ้น


ดาวทั้งหลายจะ "ตาย" กันไปจนหมดสิ้น 

ถ้าทฤษฎีควอนตัมในวันนี้ถูกต้อง เมื่อถึงเวลานั้นแม้แต่แบล็กโฮลยังจะระเหิดหายไป โปรตอนก็จะหมดซึ่งความเสถียรและสลายไปได้เช่นกัน

เท่ากับจักรวาลนี้ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่ ยกเว้นการวิ่งชนกันไปมาอย่างบางเบาของอิเล็กตรอนกับโปรตอนท่ามกลางความว่างเปล่า

"คำแนะนำของผมก็คือ ในวันนี้ขอให้เราออกไปยืนมองท้องฟ้า อิ่มเอมกับการชื่นชมความงามของพระอาทิตย์ พระจันทร์ และหมู่ดาว"  ฟิลกล่าวเป็นปริศนาธรรมส่งท้ายให้มนุษย์โลกร่วมกันขบคิดถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ในโลกและจักรวาล


แหล่งอ้างอิง 
 http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3dNVE14TURnMU13PT0=

7 ความลับเกี่ยวกับตัวคุณ ที่(เรา) อยากบอก

1. ความยาวของนิ้วมือ
จาก ผลการวิจัยของอังกฤษ พบว่าคุณสุภาพสตรีท่านใดที่มีความยาวของนิ้วชี้น้อยกว่านิ้วนางหล่ะก็ นั่นแสดงว่า คุณมีโอกาสตกอยู่ในภาวะโรคข้อกระดูกเสื่อมที่หัวเข่ามากกว่าคนที่ีนิ้วชี้ ยาวกว่านิ้วนางถึง 2 เท่า นอกจากนี้ผลการวิจัยยังพบอีกว่า สำหรับผู้ชายที่มีนิ้วชี้สั้นกว่านิ้วนาง แสดงว่ามีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในระดับต่ำ ซึ่งเจ้าฮอร์โมนนี้มีบทบาทสำคัญในการก่อให้เกิดโรคไขข้อกระดูกอักเสบ

ข้อแนะนำ พยายามทำให้กล้ามเนื้อรอบๆหัวเข่าของคุณแข็งแรงขึ้น ขณะที่นั่งอยู่ก็ให้พยายามยืดขาของคุณแต่ละข้างให้ตรงในแนวที่ขนานกับพื้น ประมาณ 10 ครั้ง และหดขาเข้ามาประมาณ 5-10 วินาที

2.ความยาวของขา

ถ้า ขาทั้ง 2 ข้างของคุณมีลักษณะสั้นม้อต้อ คำเตือนคือ คุณต้องหมั่นดูแลรักษาตับของคุณให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอ จากผลการศึกษาเมื่อปี 2008 พบว่า ผู้หญิงที่มีความยาวของขาระหว่าง 20-29 นิ้ว มีแนวโน้มว่าจะมีอัตราของเอนไซม์ 4 ตัวที่สูงเกินไปจนอสจก่อให้เกิดอันตรายต่อตับ นักวิจัยยังระบุอีกว่า ปัจจัยเรื่องของอาหารการกินในวัยเด็กนั้น เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ ไม่ได้ส่งผลเฉพาะต่อการเจริญเติบโตเท่านั้น แต่ยังทรงผลถึงพัฒนาการของตับในตอนโตอีกด้วย

ข้อแนะนำ หลีกเลี่ยงกระบวนการที่จะส่งสารพิษไปยังตับของคุณ เพราะนั่นจะช่วยทำให้ตับของคุณมีสุขภาพดีและยืดอายุการทำงานของมัน และคุณไม่ควรลืมสวมถุงมือหรือหน้ากากทุกครั้งที่ต้องสัมผัสกับสารอันตราย หรือสารเคมี ที่สำคัญต้องจำกัดปริมาณเครื่องดื่มแอลกฮอล์ต่อวันด้วย

3.สัญชาตญาณในการดมกลิ่น
จาก ผลการศึกษาเมื่อปี 2008 พบว่า ไม่่ว่าจะเป็นคนแก่หรือวัยรุ่นที่ไม่สามารถระบุกลิ่นของ กล้วย มะนาวชินนามอน(อมเชย) หรือกลิ่นของสิ่งอื่นๆได้ แน่นอนว่าคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรคพาร์กินสันภายใน 4 ปีมากกว่าคนปกติถึง 5 เท่า ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่า พื้นที่ของสมองที่รับผิดชอบประสาทสัมผัสการดมกลิ่นเป็นส่วนที่แรกที่จะส่งผล ต่อการเกิดโรคพาร์กินสัน บางครั้งอาจต้องใช้เวลาถึง 2-7 ปีกว่าจะแสดงอาการออกมาให้เห็น

4.ความยาวของแขน
ผล การวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัย Tufts พบว่า สำหรับผู้หญิงที่มีแขนค่อนข้างสั้น มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์มากกว่าคนที่มีท่อนแขนยาว ซึ่งคุณผู้หญิงสามารถทดสอบได้โดยการกางแขนของคุณขนานไปกับพื้นแล้ววัดความ ยาว หากน้อยกว่า 60 นิ้วถือว่ามีความยาวของแขนค่อนข้างน้อย

ข้อแนะนำ พยายามทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายอะไรที่ต้องใช้การยืดแขนของคุณ เช่น การฝาดภาพ ทำงานปั้น เป็นต้น จากผลการศึกษากว่า 5 ปี ของศูนย์อัลไซเมอร์ มหาวิทยาลัยศุนย์การแพทย์รัช พบว่า วัยรุ่นที่ใช้เวลาส่วนมากทำกิจกรรมที่ใช้พลังงาน หรือสมอง มีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์น้อยกว่าคนที่ไม่ทำกิจกรรมอะไรเลย 2.5 เท่า

5.รอยพับหรือรอยย่นที่ใบหูส่วนล่าง
ลักษณะ รอยย่นที่เป็นเส้นตรงที่ปรากฏบนใบหูไม่ว่าข้างเดียวหรือสองข้าง สามารทำนายอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกี่ยวกับหัวใจ ซึ่งหากเป็นรอยพับที่หูข้างเดียว นั่นแสดงว่าคุณมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรค 33%แต่ถ้าเป็นทั้งสองข้างนั่นแสดงคุณมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรค 77% อย่างไรก็ตามแม้ลักษณะดังกล่าวจะไม่ได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญ แต่อย่างน้อยอาการดังกล่าวที่ปรากฏให้เห็นก็เป็นสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังขาด ไฟเบอร์ที่ช่วยด้านความยืดหยุ่น

ข้อแนะนำ พยายามช่วยให้หัวใจของคุณแข็งแรงด้วยการควบคุมน้ำหนัก และออกกำลังกายสมำ่เสมอ เพื่อลดคอลเรสเตอร์รอลและความดันในเลือด

6.ขนาดกางเกงยีนส์จากรายงาน ด้านประสาทวิทยา พบว่าวัยรุ่นที่มีพุงค่อนข้างใหญ่ จะเสี่ยงต่อการเกิดอาการทางจิต หรือโรคจิตเสื่อม เพราะจากการศึกษาพบว่าในคนที่มีพุงหรือหน้าท้องใหญ่ เท่ากับว่าพวกเขามีไขมันที่เป้นอันตรายอยู่ใต้ผิวหนัง และเกาะอยู่ตามระบบอวัยวะต่างๆ ที่ส่งผลต่อฮอร์โมนที่ควบคุมระบบของความรู้สึกนึกคิด

ข้อแนะนำ ใส่ใจในการเลือกรับประทานอาหารมากขึ้น หันมาเลือกทานพวกน้ำมันมะกอก ถั่ว เมล็ดอโวคาโด และดาร์กช็อกโกแลต เพื่อป้องกันไขมันที่เป็นอันตราย

7.ขนาดของหน้าอก
จาก ผลการศึกษาของฝรั่งเศสพบว่า ผู้หญิงที่มีหน้าอกขนาดเล็กขนาด 13นิ้วหรือน้อยกว่า มีแนวโน้มจะเกิดคราบหรือตัวสกัดกั้นเส้นเลือดสำคัญบริเวณลำคอ อันจะก่อให้เกิดภาวะสมองขาดเลือดเฉียบพลัน นักวิจัยบอกว่า ไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังในผู้หญิงที่มีหน้าอกใหญ่จะมีมากกว่าคนที่หน้าอกเล็ก ซึ่งไขมันเหล่านี้จะทำหน้าที่ดึงไขมันตามเส้นเลือดและเก็บมันไว้ เพื่อลดอัตราเสี่ยงการเกิดอาการดังกล่าว


แหล่งอ้างอิง

5 ตุ๊กตา ยอดฮิตระดับโลก






5 ตุ๊กตา ยอดฮิตระดับโลก (นิตยสาร MIX)

Love Me Love My Dolls

 1. Barbie

กำเนิดอย่างเป็นทางการในปี 1959 ในงานอเมริกันทอย แฟร์ หลังจากมีการก่อตั้งบริษัท แมตเทล ในปี 1944 โดยเอลเลียด แฮนด์เลอร์ และ ฮาโรลด์ แมคสัน ซึ่งภายหลังแมคสันขายเลอร์หุ้นส่วนหนึ่งของตัวเองให้แฮนด์เลอร์ ทำให้แฮนด์เลอร์กับภรรยาของเขาเข้ามาทำธุรกิจนี้อย่างเต็มตัว ในงานของเล่นที่นิวยอร์ก เมื่อปี 1959 แมตเทลจึงออกผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า "บาร์บี้" เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นตุ๊กตานางแบบวัยรุ่นที่สวมชุดว่ายน้ำลายขาวดำ พร้อมกับแว่นกันแดดสุดเปรี้ยว รองเท้าส้นสูง ตุ้มหูห่วงสีทอง และผมหางม้าสูง 29 เซนติเมตร หนัก 11 ออนซ์ โดยชื่อบาร์บี้นั้นมาจากชื่อลูกสาวของแฮนด์เลอร์

ต่อมาตุ๊กตาบาร์บี้ได้รับความนิยมอย่างสูง จึงทำให้มีสร้างเป็นเรื่องราวออกมาว่าบาร์บี้เกิดที่ เมืองวิลโลว์ ที่วิสคอนชิน มีชื่อจริงว่า บาร์นี้ มิลลิเซ็นต์ โรเบิร์ดส์ เป็นบุตรสาวของ มาการ์เร็ด โรเบิร์ดส์ กับ โรเบิร์ด โรเบิร์ดส์ โดยมีน้องสาว ชื่อว่า สกิปเปอร์ ทูตติสเคซี และเคลลี พร้อมเพื่อนสนิทอย่างมิดจ์ บาร์บี้ได้เข้าเรียนในระดับไฮสคูลที่โรงเรียนวิลโลว์ ในเมืองวิลโลว์ รัฐวิสคอนชิน และเริ่มออกเดทกับเคนในปี 1961 ทั้งสองเป็นคู่รักที่สวีทกันมาตลอดว่า 40 ปี แต่แล้วความเปลี่ยนแปลงก็มาถึง กระแสของการแสวงหารักใหม่เข้ามามีบทบาทเหมือนคนจริงๆ เพราะสาวบาร์บี้แอบมีกิ๊กจนเลิกกับเคนในปี 2005 หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตสาวโสดอย่างสนุกสนามตามเทรนด์แฟชั่นที่เข้ามาในแต่ละปี

การผลิตเสื้อผ้าให้ตุ๊กตาบาร์บี้นั้นมีแบบต่างๆ ให้เลือกมากกว่า 500 แบบ จำหน่ายในกว่า 150 ประเทศ มียอดจำหน่ายมากกว่า 1 พันล้านตัว ราคาบาร์บี้สำหรับเด็กประมาณตัวละ 400-500 บาท หากเป็นรุ่นสะสม ก็จะมีราคา 1,100 บาทขึ้น แต่ถ้าเป็นรุ่นเก่าหายาก ก็จะมีราคาตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทขึ้นไปครับ






2. Teddy Bear

กำเนิดอย่างเป็นทางการในปี 1903 ที่เยอรมัน โดยในครั้งแรกยังไม่ได้เรียกมันว่าหมีเท็ดดี้ จนกระทั่ง เทโอดอร์ รูสเวลท์ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น ซึ่งเป็นคนที่ชอบล่าหมีเป็นชีวิตจิตใจ จนมีนักวาดการ์ตูนคนหนึ่งเขียนภาพล้อเลียนโดยมีเจ้าหมีตัวเล็กๆ อยู่ข้างหลังตลอดเวลา ทำให้ทุกคนเรียกหมีตัวนั้นว่าเจ้าเท็ดดี้ต่อมาพ่อค้าหัวใสขาวอเมริกันได้สั่งซื้อตุ๊กตาหมีจาก นางมาการ์เร็ต เท ซึ่งเป็นผู้ออกแบบจำนวน 3,000 ตัว ตุ๊กตาหมีเท็ดดี้จึงกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการนับแต่บัดนั้นเมื่อตุ๊กตาหมีขายดีขึ้นเรื่อยๆ จึงเกิดการเลียนแบบกันมากขึ้น ทำให้หลานชายของนางมาการ์เร็ต เท ต้องสร้างเอกลักษณ์ของตัวตุ๊กตาขึ้นมาโดยทำเป็นกระดุมติดอยู่ที่หู และมีแถบผ้าชิ้นเล็กๆ เขียนว่า Steiff ซึ่งก็คือชื่อบริษัทผู้ผลิตนั่นเอง

ปัจจุบันบริษัท Steiff ผลิตตุ๊กตาหมีเท็ดดี้ประมาณปีละ 1.5 ล้านตัว โดยหมีเท็ดดี้ที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์คือ หมีที่ทำขึ้นในปี ค.ศ.2000 ที่มีชื่อว่า Teddybr "Louis Vuittan" ในปี 2000 ที่มีมูลค่ารวมแล้วประมาณ 2 แสนยูโร เหตุที่มันแพงขนาดนี้ก็เพราะทำด้วยมือ มีชุดและเครื่องประดับ แถมยังมีลายปักอีกด้วย เมื่อนำไปประมูลราคาจึงสูงมาก โดยผู้ชนะการประมูลในครั้งนั้นเป็นชาวเกาหลีที่นิยมสะสมของหายาก






3. Kitty

คิตตี้เป็นตัวการ์ตูนลิขสิทธิ์ของบริษัท Sanrio ประเทศญี่ปุ่น สร้างเมื่อปี 1974 โดย อิคุโกะ ชิมิซุ หลังจากนั้น เซ็ตสึโกะ โยนิคุโบะ ก็ได้มาสานงานต่อ และส่งมอบให้ ยูโกะ ยามางูชิ ออกแบบเฮลโล คิตตี้มาเป็น อย่างที่เห็นในปัจจุบัน

คิตตี้นั้นโด่งดังไปทั่วโลก และปรากฎตามสินค้าต่างๆ มากมาย ทั้งบนกระดานวาดภาพ,โมเดลพลาสติกเล็กๆ ต่อมาในปี 1976 คิตตี้เริ่มปรากฏอยู่ตามกล่องอาหารชุด และไม่นานคิตตี้ก็ได้กลายมาเป็นการ์ตูนนั่นคือเรื่อง Hello Kitty's Furry Tale Theatre ที่ออกอากาศในปี 1987 ก่อนที่ในปี 1991 จะมีการสร้างการ์ตูนชุดออกมาในสหรัฐอเมริกา คือเรื่อง Hello Kitty and Friends จากนั้นประเทศญี่ปุ่นได้สร้าง Hello Kitty's Paradise ความยาว 16 ตอนออกอากาศในปี 1993-1994 และมีการนำไปแปลงเป็นภาษาอังกฤษด้วย

คิตตี้นั้นมีพื้นที่แสดงของตนเองที่เมืองมีชื่อว่า "Sanrio Puroland" อยู่ที่เมืองทามะ ประเทศญี่ปุ่น ที่สามารถดึงดูดคนได้มากกว่า 1.4 ล้านคนต่อปี และในปี 1991 ที่คิวชู ญี่ปุ่นถึงกับมีการสร้างสวนสาธารณะที่เป็นเสมือนอาณาจักรของคิตตี้ก็ว่าได้

ส่วนเรื่องราวย่อๆ ของคิตตี้มีดังนี้ครับ คิตตี้นั้นเกิดเดือนพฤศจิกายน ปี 1974 มีพี่น้องฝาแฝดชื่อ มิมมี่ ชอบทำคุกกี้ให้คิตตี้กิน คิตตี้ชอบกินของความหลายชนิด อย่างลูกกวาด พายแอปเปิล ฝีมือคุณแม่ คิตตี้ชอบสะสมดวงดาวเล็กๆ ปลาทอง เหรียญเงินและริบบิ้น ตั้งแต่พ่อของเธอไปทำงานที่นิวยอร์ค เธอก็มีเพื่อนมากมาย คิตตี้ชอบผู้ชายใจดีและเป็นมิตร รักครั้งแรกของคิตตี้คือหนุ่มที่ชื่อ Dear Danlel แต่ไม่นานเขาก็ต้องจากไปเพราะเดินทางตามครอบครัวไปแอฟริกา คิตตี้จึงได้มาคบกับ Tippy หมีเพื่อนร่วมชั้นเรียน







4. Blythe

กำเนิดอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1972 จากโรง Kenner สหรัฐอเมริกา ในตอนแรกได้จัดทำตุ๊กตาออกมาถึง 4 แบบคือ Blythe, Karess, Willow และ Skye ต่อมาทางโรงงานก็ได้จ้างดีไซน์เนอร์มาช่วยออกแบบให้ ซึ่งทำให้ตุ๊กตาสามารถเปลี่ยนสีลูกตาได้ แถมมีเครื่องแต่งกายมากมายที่สลับสับเปลี่ยนกันแทบไม่รู้จบ อย่างไรก็ตาม แต่แทนที่จะไปได้สวยกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะหน้าตาและสีสันของมันทำให้เด็กกลัวมาก จนต้องหยุดผลิตทั้งที่เปิดตัวได้เพียงแค่ปีเดียว ไม่นานนักก็เลิกใจการไปถึง 30 กว่าปี

หลังจาก 30 ปีผ่านไป ตุ๊กตาไบลทธ์ก็กลับมาอีกครั้ง และเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากการที่ Gina Garan โปรดิวเซอร์สาวชาวอเมริกาได้รับมอบตุ๊กตาจากเพื่อน และเธอก็พาไบลทธ์ไปกับเธอแทบทุกที่ทั่วโลก และถ่ายภาพจากกล้อง SLR โดยมี Blythe เป็นนางแบบ ภาพของเธอถูกนำมารวมเป็นหนังสือชื่อ This is Blythe และ Finecracker Altemative Book ผลก็คือ Gina Garan โด่งดังและนำพาให้ตุ๊กตาไบลทธ์ก็กลับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง และเมื่อบริษัท Tokoro ของประเทศญี่ปุ่นได้ลิขสิทธิ์ผลิตตุ๊กตา จึงทำการประชาสัมพันธ์จนทำให้ไบลทธ์เป็นที่รู้จักมากมาย ด้วยการยกให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับห้างสรรพสินค้าชื่อดัง และทำให้มีส่วนร่วมกับวงการแฟชั่นด้วยการหาแบรนด์เนมต่างๆ มาสนับสนุนทำให้วันนี้ไบลทธ์ กลายมาเป็นตุ๊กตาที่มีราคาขึ้นมาทันที ปัจจุบันราคาอยู่ที่หลักหลักพันจนไปถึงหมื่นบาทขึ้น





5. Rika-Chan

กำเนิดอย่างเป็นทางการ ค.ศ. 1967 โดยบริษัททาคาระ หลังจากที่นักเขียนการ์ตูนชื่อนาง มิยาโกะ มากิ ได้สร้างสรรค์ตุ๊กตาริกะจังขึ้นมาให้มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคนญี่ปุ่นมากกว่าชาวยุโรป ก็ทำให้เด็กสาวชาวญี่ปุ่นในสมัยนั้นเพลิดเพลินกับการเล่นตุ๊กตาเป็นพิเศษ เพราะตุ๊กตาริกะจังมีรูปแบบการแต่งตัวตามแฟชั่นและการเล่นไม่แพ้ตุ๊กตาบาร์บี้เลยทีเดียว


แหล่งอ้างอิง 

10 อันดับ สัตว์ที่อายุยืนที่สุด





อันดับ 10 คือ "ลิง" ญาติห่างๆ ของมนุษย์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วลิงจะมีอายุเฉลี่ย 25 ปี







 อันดับ 9 ได้แก่ "ช้าง" ซึ่งมีอายุเฉลี่ย 60 ปี โดยจะขึ้นอยู่กับการดูแล อาหารการกินและความเครียด ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้เปรียบเทียบอายุขัยระหว่างช้างเอเชียและช้างแอฟริกาแล้วพบว่า ช้างแอฟริกาที่ต้องผจญกับสัตว์ป่านานาชนิดและอาหารการกินที่ขัดสนกว่า ทำให้พวกมันเครียดและมีอายุขัยน้อยกว่าช้างเอเชีย อย่างไรก็ดี มีบันทึกว่าประเทศญี่ปุ่นเคยมีช้างที่มีอายุมากที่สุดในโลกคือ 86 ปี







 อันดับ 8 คือสัตว์ที่ไม่มีใครอยากให้มันมีชีวิตที่ยืนยาวนัก เพราะมันมักได้รับบทตัวร้ายในละครเสมอๆ นั่นคือ "อีกา" นั่นเอง ด้วยเหตุผลที่อีกาจะมีคู่เพียงตัวเดียวตลอดอายุขัย ทำให้มันไม่เหนื่อยล้าจนเกินไป นอกจากนี้ การสืบพันธุ์ยังเป็นตัวกำนันนาฬิกาชีวภาพให้หมุนเร็วขึ้นด้วย อีกาจึงมีอายุขัยสูงถึง 90 ปี ซึ่งพบอีกว่านกหลายๆ ชนิดก็มีอายุที่ยืนยาวไม่ต่างจากอีกามากนัก เช่น นกกระตั้ว







 อันดับ 7 คือ "กุ้งก้ามกราม" ด้วยอายุขัย100 ปี ถือว่าอายุยืนที่สุดในสัตว์จำพวกมีเปลือกแข็งด้วยกัน ด้วยเหตุผลที่มันมีการเคลื่อนไหวและเผาผลาญพลังงานน้อย







 อันดับ 6 คือ "หอยมุกน้ำจืด" ด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เผาผลาญพลังงานน้อย กินน้อย ใช้ก๊าซออกซิเจนในการหายใจน้อย ทำให้มันสามารถคว้าอันดับ 6 มาครองได้ ด้วยอายุขัยมากกว่า 110 ปี





 อันดับ 5 คือ มนุษย์เรานี่เอง โดยมีอายุขัยสูงสุด 120 ปี ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อที่จารึกไว้ในคัมภีร์ศาสนาคริสต์และฮินดูที่ว่า มนุษย์จะมีอายุขัยได้ไม่เกิน 120 ปี อย่างไรก็ตามระยะหลังมานี้ มนุษย์มีแนวโน้มที่จะมีอายุทะลุ 100 ปีมากขึ้นเรื่อยๆ เคล็ดลับการมีอายุยืนของผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลายล้วนระบุตรงกันถึงการบริโภคอย่างพอดี การออกกำลังกายแต่พอดี ไม่ใช้ร่างกายอย่างหักโหมและมีทัศนคติที่ดี





 อันดับ 4 ตกเป็นของปลาโบราณร่วมยุคกับไดโนเสาร์ที่มีไข่ที่เอร็ดอร่อยที่สุดในโลก นั่นคือ "ปลาสเตอร์เจียน" ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พบว่า มันสามารถมีอายุได้สูงถึง 150 ปีทีเดียว โดยคาดกันว่าน่าจะเป็นผลมาจากยีนอายุยืนที่พิสูจน์แล้วมามีอยู่จริงของมัน





 อันดับ 3 ตกเป็นของพี่เบิ้มสิ่งมีชีวิตนั่นคือ "ปลาวาฬออร์ก้าในทวีปแอนตาร์กติก"ด้วยอายุขัย 200 ปี






 อันดับ 2"เต่า" ถือเป็นสิ่งมีชีวิตอายุยืนอันดับ 2 ที่มีอายุขัยประมาณ 250 ปี โดยเต่าที่มีอายุยืนที่สุดในโลกขณะนี้คือ "เต่ากาลาปากอส" ที่มีชื่อว่า "แฮเรียน" ตัวเดียวกันกับที่ "ชาร์ลส์ ดาร์วิน" นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้อง จับมันมาใช้ชีวิตเมืองเมื่อหลายสิบปีก่อน โดยชาร์ลสเองก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สิ่งมีชีวิตชนิดนี้มีอายุยืนกว่าเขาเองเสียอีก โดยสาเหตุที่เชื่อว่าเต่ามีอายุยืนยาว สืบเนื่องจากการเคลื่อนไหวที่เนิบช้า และความไม่เดือดเนื้อร้อนใจใดๆ นั่นเอง





อันดับที่ 1 จะเป็นของใครไปไม่ได้เลย นอกจากสิ่งมีชีวิตที่ใช้ชีวิตดำดิ่งอยู่ก้นมหาสมุทรอันมืดมิดด้วยอุณหภูมิเย็นเฉียบ มันคือ "ฟองน้ำยักษ์" ซึ่งมีอายุสูงอย่างไม่น่าเชื่อถึง 10,000 ปี หรืออาจกล่าวว่า มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวันตายก็ได้ และเมื่อถามถึงปัจจัยที่ทำให้ฟองน้ำยักษ์มีอายุยืนที่สุดในโลก หลายคนอาจเบนหน้าหนีด้วยที่ว่า มันแทบไม่กินและไม่กระดุกระดิกเลย จนนักวิทยาศาสตร์ถึงกับแซวมันว่า หากมนุษย์ต้องการที่จะมีอายุยืนต้องอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ไม่กินอาหารและอยู่นิ่งๆ เหมือนโดนสต๊าฟไว้แล้ว ก็เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากอายุยืนเหมือนมันอย่างแน่นอน

แหล่งอ้างอิง  http://hilight.kapook.com/view/27765