"
โลกสีฟ้า" หรือ "แพลเน็ต เอิร์ธ" ทุกวันนี้มีปัญหารุมเร้ามากมายและส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากน้ำมือ "มนุษย์" ผู้อยู่อาศัย
ทั้งการเผาผลาญทรัพยา กร การก่อมลพิษ-มลภาวะ วิกฤตสิ่งแวดล้อม ฯลฯ
จนส่งผลก่อให้เกิดปรากฏ การณ์ร้ายแรงที่เรียกว่า "ภัยโลกร้อน" ทำให้สภาพอากาศแปรปรวนไปทั่วทุกภูมิภาค
แต่ประชาคมโลกก็ยังนิ่งเฉย ไม่มีมาตรการความร่วมมือใดๆ ออกมาเป็นรูปธรรม
ขณะที่ "ฟิล เพลต" นักดาราศาสตร์และนักฟิสิกส์ชื่อดังชาวอเมริกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านพยากรณ์จุดจบของโลก เตือนว่า
มนุษย์ไม่ต้องเร่งร้อนทำลายล้างโลกกันนักหรอก
เพราะสักวันหนึ่งในอนาคตโลกก็จะถึงจุดจบด้วยตัวมันเองอยู่ดีด้วยวิถีแห่งจักรวาล ฉะนั้นยามมีโอกาสหายใจอยู่บนโลกจงทะนุถนอมและช่วยกันดูแลรักษาเอาไว้เถิด โดยความเป็นไปได้ที่วงจรของจักรวาลจะทำให้เกิด "วันสิ้นโลก" ตามทัศนะของฟิลมี 5 ลักษณะด้วยกัน ดังนี้!
ดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนฟิล เพลต ระบุว่า ในบรรดาวัตถุในห้วงอวกาศที่มีโอกาสพาโลกไปสู่หายนะสูงสุด ก็คือ
ดาวเคราะห์น้อย หรือ Asteroid
ปัจจุบันโลกตั้งอยู่ท่ามกลางแนวพุ่งชนของวัตถุในอวกาศน้ำหนักมากกว่า 100 ตัวเป็นประจำทุกวัน
และความเสี่ยงโดนพุ่งชนจนเกิดอันตรายร้ายแรง ตกประมาณ 200-300 ปีต่อครั้ง
1.ดาวละเบิด
2.แบล็กโฮล
"ถ้าคุณลองไปถามไดโนเสาร์ ซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้วดูว่าดาวเคราะห์น้อยน่ากลัวขนาดไหน มันคงบอกให้คุณระวังตัวเต็มที่"
ฟิลกล่าว และว่า ในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์เองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหานี้ เช่น มีการรวมตัวในนามมูลนิธิ "บี 612" เพื่อระดมสติปัญญาหาทางป้องกันไม่ให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องเหลือแต่โครงกระดูกในพิพิธภัณฑ์เหมือนไดโนเสาร์
โดยวิธีขจัดไม่ให้ดาวเคราะห์น้อยก้อนมหึมาพุ่งชนใส่โลก ได้แก่ การส่งยานอวกาศไปชนหัวดาวเคราะห์น้อยดวงนั้นๆ เพื่อเปลี่ยนวงโคจรและส่งยานอีกลำไปสร้างแรงดึงดูด ดึงดาวเคราะห์น้อยออกไปให้ไกลจากโลก
ดาวระเบิดเมื่อ "ดาวฤกษ์" ที่มีมวลขนาดใหญ่มากๆ ถึงจุดจบสิ้นอายุขัยนั้น จะเกิดปรากฏการณ์ "ซูเปอร์โนวา"
หรือการระเบิดที่ปลดปล่อยพลังงานและคลื่นรังสีออกมาจำนวนมหาศาล เมื่อมองจากกล้องโทรทรรศน์ดูสว่างวาบแสนสวยงาม แต่แฝงไปด้วยอันตราย ดวงดาว หรือวัตถุใดๆ ที่อยู่ใกล้จะได้รับผลกระทบไปเต็มๆ ถึงขั้น "ตาย" ตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม เคราะห์ยังดีที่โอกาสเกิดซูเปอร์โนวาใกล้ๆ โลกมนุษย์ถือว่ามีน้อยมาก คาดว่าช่วงเวลาใกล้ที่สุดที่โลกมีความเสี่ยงกระเด็นกระดอนเพราะซูเปอร์โนวา คือ เมื่อ 2-3 ล้านปีก่อน
ถามเมื่อรู้อย่างนี้แล้วจะป้องกันได้อย่างไร
คำตอบสั้นๆ จากฟิล คือ ไม่มี ฉะนั้นอย่ากังวลใจไปเลย ถ้ามันจะต้องเกิดขึ้นจริงๆ
ภาพลักษณะอาทิตย์ก่อนดับ
พระอาทิตย์ดับ
ดวงอาทิตย์ มีความสำคัญต่อโลกมนุษย์มากถึงมากที่สุด
ทำหน้าที่เป็นทั้งแหล่งให้พลังงาน แหล่งกำเนิดชีวิต และให้ความอบอุ่น แต่ในเชิงฟิสิกส์ประเมินกันว่า ขณะนี้วงจรชีวิตของดวงอาทิตย์ถ้าเทียบกับคนเราก็เดินมาถึง "ครึ่งทาง"แล้ว (4.5 พันล้านปี)
พูดง่ายๆ ก็คือ เริ่มเข้ายุคนับถอยหลังสู่จุดจบ หรือยุคที่หมดสิ้นไม่เหลือหลอพลังงาน และ "ดับ" ไปกลายเป็นดาวสีแดงเฉยๆ "จากนี้คงเป็นหน้าที่ของเหลนๆๆๆๆๆและเหลน ที่ต้องคิดวิธีแก้ปัญหาพระอาทิตย์ดับกันต่อไป"
"แบล็กโฮล" หลุมดำกลืนกินทุกสรรพสิ่งหนังฮอลลีวู้ดอาจสร้างความเข้าใจ-การรับรู้ผิดๆ เกี่ยวกับ "หลุมดำ" หรือ "แบล็กโฮล" ในห้วงจักรวาล ว่า
เป็นจอมอันธพาล ไล่ตระเวนกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าในอวกาศ โดยเฉพาะดาวเคราะห์ต่างๆ
แต่ความเป็นจริงหลุมดำก็มีทิศทางการโคจรใน "ทางช้างเผือก" เฉกเช่นเดียวกับดวงดาวอีกหลายแสนล้านดวง แต่อย่างไรก็ดี มีความเป็นไปได้ที่แบล็กโฮลหลุมใดหลุมหนึ่งอาจโคจรมาใกล้โลกมากจนเกินไป
ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริงวงโคจรโลกจะเสียกระบวน ทำให้โลกหล่นตุ้บเข้าไปอยู่ในดวงอาทิตย์ หรือถูกกระแทกออกไปลอยคว้างอยู่ในห้วงอวกาศอันไกลโพ้น (แล้วลองคิดดูเล่นๆ ก็ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนั้น?)
มีความเป็นไปได้น้อย ที่แบล็กโฮลจะโผล่มากลืนโลกหายไปทั้งใบ หรือถ้ามาป้วนเปี้ยนแถวๆ นี้จริง น่าจะใช้เวลาอีกนับล้านล้านปีจุดจบตามกฎธรรมชาติทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติ ไม่ว่าจะดีหรือร้ายต้องเดินทางไปถึงจุดจบ
"จักรวาล" (Universe) ของเราเองก็หนีไม่พ้นกฎ หรือสัจธรรมข้อนี้
จากการคำนวณทางฟิสิกส์ ปัจจุบันจักรวาลของเรามีอายุประมาณ 13,000 ล้านปี แต่หลังจากนั้นไกลออกไปอีกนับล้านล้านปี ล้านล้านล้านปี หรืออภิมหาล้านล้านล้านปี ฯลฯ อะไรจะเกิดขึ้น
ดาวทั้งหลายจะ "ตาย" กันไปจนหมดสิ้น
ถ้าทฤษฎีควอนตัมในวันนี้ถูกต้อง เมื่อถึงเวลานั้นแม้แต่แบล็กโฮลยังจะระเหิดหายไป โปรตอนก็จะหมดซึ่งความเสถียรและสลายไปได้เช่นกัน
เท่ากับจักรวาลนี้ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่ ยกเว้นการวิ่งชนกันไปมาอย่างบางเบาของอิเล็กตรอนกับโปรตอนท่ามกลางความว่างเปล่า
"คำแนะนำของผมก็คือ ในวันนี้ขอให้เราออกไปยืนมองท้องฟ้า อิ่มเอมกับการชื่นชมความงามของพระอาทิตย์ พระจันทร์ และหมู่ดาว" ฟิลกล่าวเป็นปริศนาธรรมส่งท้ายให้มนุษย์โลกร่วมกันขบคิดถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ในโลกและจักรวาล
แหล่งอ้างอิง
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3dNVE14TURnMU13PT0=