วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ที่มาของ 'ทางม้าลาย'


Road















ถามตอบรอบโลกวันนี้ คุณอำนาจ เกิดใคร่อยากจะทราบถึงที่มาของ 'ทางม้าลาย' หลังจากได้อ่านต้นกำเนิดไฟเขียว-ไฟแดง จึงฝากคำถามผ่านทางคอลัมน์ของเรา ซึ่งเราก็ไปค้นหาคำตอบมาให้เรียบร้อยแล้วในวันนี้

สัญลักษณ์ของทางลายขาว-ดำ ที่มีไว้สำหรับให้คนข้ามถนน หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า 'ทางม้าลาย' นั้นแท้จริงแล้วในตอนแรกหาได้เป็นสีขาวกับสีดำอย่างที่เราเห็นในปัจจุบันไม่

เดิมทีแถบสีสัญลักษณ์ของทางคนข้ามนี้เคยเป็นสีน้ำเงินและสีเหลืองมาก่อน โดยมีการนำมาใช้อย่างเป็นทางการครั้งแรก (หลังทำการทอดลองใช้แล้ว) ตามท้องถนนของประเทศอังกฤษราว 1,000 จุด เมื่อปี 1949 เพื่อบ่งบอกให้ผู้ใช้รถใช้ถนนทราบว่าบริเวณดังกล่าวเป็นทางที่อนุญาตให้คนสามารถข้ามถนนได้

แต่ก่อนนั้น สัญลักษณ์ของทางข้ามนี้จะอยู่คู่กับ 'เสาโคมไฟสัญญาณบีลิสชา' ซึ่งถือกำเนิดมาก่อนหน้านี้แล้วตั้งแต่ปี 1934 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสัญญาณให้พาหนะที่สัญจรอยู่บนท้องถนนหยุดวิ่งชั่วขณะเพื่อให้คนที่อยู่สองข้างทางได้เดินข้ามถนนอย่างปลอดภัย โดยพาหนะต่างๆ จะหยุดก็ต่อเมื่อโคมไฟสัญญาณบีลิสชาซึ่งมีสีส้มส่องสว่างขึ้น

ต่อมา เลสลี ฮอร์น บีลิสชา รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมแดนผู้ดี ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มไอเดียนำโคมไฟสัญญาณดังกล่าวมาติดตั้งก็คิดว่าน่าจะมีการเพิ่มสัญลักษณ์ที่เป็นแถบสีบนพื้นถนนบริเวณที่มีการติดตั้งโคมไฟสัญญาณเพื่อช่วยให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเห็นได้เด่นชัดมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ สัญลักษณ์ของทางข้ามที่มีแถบสีจึงถือกำเนิดขึ้น

จากนั้นก็มีการทดลองใช้สีขาว-แดง และสีขาว-ดำ ทาเป็นสัญลักษณ์ แล้วในปี 1951 สัญลักษณ์ของทางข้ามที่เป็นแถบสีขาว-ดำก็ถูกนำมาใช้คู่กับโคมไฟสัญญาณบีลิสชาอย่างเป็นทางการครั้งแรก พร้อมกับได้รับการขนานนามว่า 'ทางม้าลาย' เนื่องจากมีลักษณะเหมือนลายของม้าลายนั่นเอง

ต่อมาอังกฤษได้นำไอเดียดังกล่าวไปใช้กับประเทศอาณานิคมของตัวเอง เช่น สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เป็นต้น ทางม้าลายจึงกลายเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก และกลายเป็นเครื่องหมายจราจรที่เป็นสากลไปโดยปริยาย


แหล่งอ้างอิง

 http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iamlady&month=12-2010&date=20&group=13&gblog=96

ที่มาของ "สัญญาณไฟจราจร"




เท่าที่มีการจดบันทึกทางประวัติศาสตร์เอาไว้ ต้นกำเนิดไฟสัญญาณจราจรแห่งแรกบนโลกอยู่ที่ประเทศอังกฤษ เมื่อปี 1868 เกิดขึ้นก่อนที่คนเราจะรู้จักกับรถที่ใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเสียอีก โดยมี เจ.พี. ไนต์ วิศวกรชาวอังกฤษเป็นเจ้าของผลงาน

วัตถุประสงค์แรกเริ่มที่ไนต์สร้างไฟสัญญาณจราจรขึ้นมาก็เพื่อใช้ควบคุมการสัญจรของรถม้า และคนเดินเท้าที่เดินผ่านไปผ่านมาบริเวณสี่แยก ที่เริ่มจะพลุกพล่านมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคนั้น โดยสถานที่ที่ได้รับเกียรติให้ทำการติดตั้งผลงานชิ้นแรกของไนต์ก็คือ สี่แยกใจกลางมหานครลอนดอนบริเวณหน้ารัฐสภาอังกฤษ นั่นเอง

รูปลักษณ์ของไฟสัญญาณจราจรฝีมือไนต์นั้นออกจะดูแปลกตาไปเสียหน่อยหากเทียบกับปัจจุบัน เพราะมันจะมี 2 แขน เมื่อใดที่แขนทั้ง 2 ข้างของมันเคลื่อนตัวขนานกับพื้นดินหมายความว่า พาหนะที่กำลังสัญจรอยู่บริเวณสี่แยกจะต้องหยุดทันที ทว่า หากแขนทั้ง 2 ข้างของสัญญาณจราจรเคลื่อนตัวทำมุม 45 องศา จะหมายความว่า ให้ผู้ใช้พาหนะทุกชนิดใช้ถนนอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยในตอนกลางคืนจะมีไฟสีแดงและสีเขียวซึ่งได้จากพลังงานแก๊สบนแขนทั้ง 2 ข้างเป็นตัวให้สัญญาณเพื่อให้มองเห็นเด่นชัด โดยแสงสีแดงหมายถึง 'หยุด' ส่วนแสงสีเขียวหมายถึง 'ให้ระวัง'

ต่อมาวิวัฒนาการของไฟสัญญาณจราจรก็ถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ สำหรับไฟเขียว-ไฟแดง แบบใช้พลังงานไฟฟ้าเริ่มมีใช้เป็นครั้งแรกในเมือง ซอลต์เลกซิตี รัฐยูทาห์ ประเทศสหรัฐฯ ช่วงปี 1912 โดย เลสเตอร์ ไวร์ พนักงานตำรวจชาวอเมริกันเป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้นด้วยมือของเขาเอง

ในช่วงแรกไฟสัญญาณจราจรที่ใชักันอยู่จะมีแค่ไฟเขียว และไฟแดง เท่านั้น จนกระทั่ง ในปี 1920 วิลเลียม พอตต์ ตำรวจจราจรแห่งดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน ได้ออกแบบไฟสัญญาณจราจรรูปแบใหม่ขึ้น พร้อมกับเพิ่มไฟสีอำพัน (สีเหลือง) เข้าไปอีกหนึ่งสี เพื่อเป็นสัญญาณเตือนผู้ใช้พาหนะให้ระวัง และชะลอตัวก่อนที่จะหยุด หรือ ออกตัว

จากนั้นอีกไม่กี่ปีต่อมา ไฟสัญญาณจราจรแบบอัตโนมัติก็ถูกประดิษฐ์ขึ้น โดยเป็นฝีมือของ การ์แรตต์ มอร์แกน ซึ่งนำมาใช้ครั้งแรกในเมืองเคลฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ก่อนที่จะแพร่หลายไปทั่วโลก

และทั้งหมดนี้ก็คือวิวัฒนาการของไฟสัญญาณจราจรที่ถูกพัฒนาต่อมาเรื่อยๆ และมีใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน


แหล่งอ้างอิง
http://jigsowbn.blogspot.com/2009/10/blog-post_13.html

ทะเลสาปมรณะ















ทะเลสาบไนยอส ทะเลสาบที่เกิดจากปากปล่องภูเขาไฟที่สงบแล้วในประเทศแคเมอรูน ที่เห็นอยู่ในภาพนี้ได้ชื่อว่าเป็น "เพชฌฆาตเงียบ" ที่น่ากลัวจนทำให้พื้นที่นี้ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในดินแดนที่อันตรายที่สุดของโลกพื้นที่หนึ่ง สาเหตุสำคัญของอันตรายที่เกิดขึ้นจากทะเลสาบดังกล่าวนี้ เป็นเพราะลึกลงไปใต้ก้นทะเลสาบมีแอ่งแม็กมา หรือ หินที่หลอมละลายด้วยความร้อนจากใต้ดิน อยู่ลึกลงไปใต้ผิวน้ำลึกราว 200 เมตร ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้รั่วไหลแทรกซึมขึ้นสู่ทะเลสาบที่อยู่เหนือมันขึ้นไป ภายใต้แรงกดดันของมวลน้ำจำนวนดังกล่าว คาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยออกมา ถูกกักให้ละลายปนอยู่ในน้ำ ทำนองเดียวกับโซดาในขวดนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม เมื่อมวลน้ำเกิดการเปลี่ยนแปลงฉับพลัน เหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ปี 2529 ส่งผลให้มวลก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ระเบิดพรวดขึ้นเหนือผิวน้ำ รวมตัวกันแทรกแทนที่อากาศเหนือผิวน้ำในบริเวณทะเลสาบ เมื่อมีมวลมากขึ้นก็เริ่มทะลักไหลลงมาตามไหล่เขา ส่งผลให้ผู้คนที่อยู่อาศัยโดยรอบทะเลสาบ 1,700 คน กับสัตว์อีกหลายหมื่นตัวในหุบเขาโดยรอบทะเลรัศมี 24 กิโลเมตร เสียชีวิตทั้งหมด

ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์แก้ปัญหาด้วยการต่อท่อหลายๆ ท่อขึ้นมาจากก้นทะเลสาบให้ทำหน้าที่เป็นเหมือนปล่องระบายคาร์บอนไดออกไซด์ทีละเล็กทีละน้อย อย่างไรก็ตาม จอร์จ คลิง นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกนก็ยังชี้ว่า ไนยอสยังเปี่ยมด้วยอันตรายอยู่ดี เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ก๊าซจะสะสมในปริมาณที่มากเกินกว่าที่ท่อจะระบายได้ขึ้นมา


แหล่งอ้างอิง  
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1347253242&grpid=03&catid=03

5มหันตภัยจากจักรวาล รุกราน-ทำลายล้างโลกมนุษย์




"โลกสีฟ้า" หรือ "แพลเน็ต เอิร์ธ" ทุกวันนี้มีปัญหารุมเร้ามากมายและส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากน้ำมือ "มนุษย์" ผู้อยู่อาศัย

ทั้งการเผาผลาญทรัพยา กร การก่อมลพิษ-มลภาวะ วิกฤตสิ่งแวดล้อม ฯลฯ

จนส่งผลก่อให้เกิดปรากฏ การณ์ร้ายแรงที่เรียกว่า "ภัยโลกร้อน" ทำให้สภาพอากาศแปรปรวนไปทั่วทุกภูมิภาค
แต่ประชาคมโลกก็ยังนิ่งเฉย ไม่มีมาตรการความร่วมมือใดๆ ออกมาเป็นรูปธรรม

ขณะที่ "ฟิล เพลต" นักดาราศาสตร์และนักฟิสิกส์ชื่อดังชาวอเมริกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านพยากรณ์จุดจบของโลก เตือนว่า

มนุษย์ไม่ต้องเร่งร้อนทำลายล้างโลกกันนักหรอก
เพราะสักวันหนึ่งในอนาคตโลกก็จะถึงจุดจบด้วยตัวมันเองอยู่ดีด้วยวิถีแห่งจักรวาล ฉะนั้นยามมีโอกาสหายใจอยู่บนโลกจงทะนุถนอมและช่วยกันดูแลรักษาเอาไว้เถิด โดยความเป็นไปได้ที่วงจรของจักรวาลจะทำให้เกิด "วันสิ้นโลก" ตามทัศนะของฟิลมี 5 ลักษณะด้วยกัน ดังนี้!



ดาวเคราะห์น้อยพุ่งชน

ฟิล เพลต ระบุว่า ในบรรดาวัตถุในห้วงอวกาศที่มีโอกาสพาโลกไปสู่หายนะสูงสุด ก็คือ

ดาวเคราะห์น้อย หรือ Asteroid

ปัจจุบันโลกตั้งอยู่ท่ามกลางแนวพุ่งชนของวัตถุในอวกาศน้ำหนักมากกว่า 100 ตัวเป็นประจำทุกวัน

และความเสี่ยงโดนพุ่งชนจนเกิดอันตรายร้ายแรง ตกประมาณ 200-300 ปีต่อครั้ง

1.ดาวละเบิด

2.แบล็กโฮล

"ถ้าคุณลองไปถามไดโนเสาร์ ซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้วดูว่าดาวเคราะห์น้อยน่ากลัวขนาดไหน มันคงบอกให้คุณระวังตัวเต็มที่"

ฟิลกล่าว และว่า ในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์เองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหานี้ เช่น มีการรวมตัวในนามมูลนิธิ "บี 612" เพื่อระดมสติปัญญาหาทางป้องกันไม่ให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องเหลือแต่โครงกระดูกในพิพิธภัณฑ์เหมือนไดโนเสาร์

โดยวิธีขจัดไม่ให้ดาวเคราะห์น้อยก้อนมหึมาพุ่งชนใส่โลก ได้แก่ การส่งยานอวกาศไปชนหัวดาวเคราะห์น้อยดวงนั้นๆ เพื่อเปลี่ยนวงโคจรและส่งยานอีกลำไปสร้างแรงดึงดูด ดึงดาวเคราะห์น้อยออกไปให้ไกลจากโลก


ดาวระเบิด
เมื่อ "ดาวฤกษ์" ที่มีมวลขนาดใหญ่มากๆ ถึงจุดจบสิ้นอายุขัยนั้น จะเกิดปรากฏการณ์ "ซูเปอร์โนวา"

หรือการระเบิดที่ปลดปล่อยพลังงานและคลื่นรังสีออกมาจำนวนมหาศาล เมื่อมองจากกล้องโทรทรรศน์ดูสว่างวาบแสนสวยงาม แต่แฝงไปด้วยอันตราย ดวงดาว หรือวัตถุใดๆ ที่อยู่ใกล้จะได้รับผลกระทบไปเต็มๆ ถึงขั้น "ตาย" ตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม เคราะห์ยังดีที่โอกาสเกิดซูเปอร์โนวาใกล้ๆ โลกมนุษย์ถือว่ามีน้อยมาก คาดว่าช่วงเวลาใกล้ที่สุดที่โลกมีความเสี่ยงกระเด็นกระดอนเพราะซูเปอร์โนวา คือ เมื่อ 2-3 ล้านปีก่อน

ถามเมื่อรู้อย่างนี้แล้วจะป้องกันได้อย่างไร
คำตอบสั้นๆ จากฟิล คือ ไม่มี ฉะนั้นอย่ากังวลใจไปเลย ถ้ามันจะต้องเกิดขึ้นจริงๆ

ภาพลักษณะอาทิตย์ก่อนดับ


พระอาทิตย์ดับ

ดวงอาทิตย์ มีความสำคัญต่อโลกมนุษย์มากถึงมากที่สุด

ทำหน้าที่เป็นทั้งแหล่งให้พลังงาน แหล่งกำเนิดชีวิต และให้ความอบอุ่น แต่ในเชิงฟิสิกส์ประเมินกันว่า ขณะนี้วงจรชีวิตของดวงอาทิตย์ถ้าเทียบกับคนเราก็เดินมาถึง "ครึ่งทาง"แล้ว  (4.5 พันล้านปี)

พูดง่ายๆ ก็คือ เริ่มเข้ายุคนับถอยหลังสู่จุดจบ หรือยุคที่หมดสิ้นไม่เหลือหลอพลังงาน และ "ดับ" ไปกลายเป็นดาวสีแดงเฉยๆ "จากนี้คงเป็นหน้าที่ของเหลนๆๆๆๆๆและเหลน ที่ต้องคิดวิธีแก้ปัญหาพระอาทิตย์ดับกันต่อไป"


"แบล็กโฮล" หลุมดำกลืนกินทุกสรรพสิ่ง

หนังฮอลลีวู้ดอาจสร้างความเข้าใจ-การรับรู้ผิดๆ เกี่ยวกับ "หลุมดำ" หรือ "แบล็กโฮล" ในห้วงจักรวาล ว่า

เป็นจอมอันธพาล ไล่ตระเวนกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าในอวกาศ โดยเฉพาะดาวเคราะห์ต่างๆ

แต่ความเป็นจริงหลุมดำก็มีทิศทางการโคจรใน "ทางช้างเผือก" เฉกเช่นเดียวกับดวงดาวอีกหลายแสนล้านดวง แต่อย่างไรก็ดี มีความเป็นไปได้ที่แบล็กโฮลหลุมใดหลุมหนึ่งอาจโคจรมาใกล้โลกมากจนเกินไป

ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริงวงโคจรโลกจะเสียกระบวน ทำให้โลกหล่นตุ้บเข้าไปอยู่ในดวงอาทิตย์ หรือถูกกระแทกออกไปลอยคว้างอยู่ในห้วงอวกาศอันไกลโพ้น (แล้วลองคิดดูเล่นๆ ก็ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนั้น?)
มีความเป็นไปได้น้อย ที่แบล็กโฮลจะโผล่มากลืนโลกหายไปทั้งใบ หรือถ้ามาป้วนเปี้ยนแถวๆ นี้จริง น่าจะใช้เวลาอีกนับล้านล้านปีจุดจบตามกฎธรรมชาติทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติ ไม่ว่าจะดีหรือร้ายต้องเดินทางไปถึงจุดจบ

"จักรวาล" (Universe) ของเราเองก็หนีไม่พ้นกฎ หรือสัจธรรมข้อนี้

จากการคำนวณทางฟิสิกส์ ปัจจุบันจักรวาลของเรามีอายุประมาณ 13,000 ล้านปี แต่หลังจากนั้นไกลออกไปอีกนับล้านล้านปี ล้านล้านล้านปี หรืออภิมหาล้านล้านล้านปี ฯลฯ อะไรจะเกิดขึ้น


ดาวทั้งหลายจะ "ตาย" กันไปจนหมดสิ้น 

ถ้าทฤษฎีควอนตัมในวันนี้ถูกต้อง เมื่อถึงเวลานั้นแม้แต่แบล็กโฮลยังจะระเหิดหายไป โปรตอนก็จะหมดซึ่งความเสถียรและสลายไปได้เช่นกัน

เท่ากับจักรวาลนี้ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่ ยกเว้นการวิ่งชนกันไปมาอย่างบางเบาของอิเล็กตรอนกับโปรตอนท่ามกลางความว่างเปล่า

"คำแนะนำของผมก็คือ ในวันนี้ขอให้เราออกไปยืนมองท้องฟ้า อิ่มเอมกับการชื่นชมความงามของพระอาทิตย์ พระจันทร์ และหมู่ดาว"  ฟิลกล่าวเป็นปริศนาธรรมส่งท้ายให้มนุษย์โลกร่วมกันขบคิดถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ในโลกและจักรวาล


แหล่งอ้างอิง 
 http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3dNVE14TURnMU13PT0=

7 ความลับเกี่ยวกับตัวคุณ ที่(เรา) อยากบอก

1. ความยาวของนิ้วมือ
จาก ผลการวิจัยของอังกฤษ พบว่าคุณสุภาพสตรีท่านใดที่มีความยาวของนิ้วชี้น้อยกว่านิ้วนางหล่ะก็ นั่นแสดงว่า คุณมีโอกาสตกอยู่ในภาวะโรคข้อกระดูกเสื่อมที่หัวเข่ามากกว่าคนที่ีนิ้วชี้ ยาวกว่านิ้วนางถึง 2 เท่า นอกจากนี้ผลการวิจัยยังพบอีกว่า สำหรับผู้ชายที่มีนิ้วชี้สั้นกว่านิ้วนาง แสดงว่ามีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในระดับต่ำ ซึ่งเจ้าฮอร์โมนนี้มีบทบาทสำคัญในการก่อให้เกิดโรคไขข้อกระดูกอักเสบ

ข้อแนะนำ พยายามทำให้กล้ามเนื้อรอบๆหัวเข่าของคุณแข็งแรงขึ้น ขณะที่นั่งอยู่ก็ให้พยายามยืดขาของคุณแต่ละข้างให้ตรงในแนวที่ขนานกับพื้น ประมาณ 10 ครั้ง และหดขาเข้ามาประมาณ 5-10 วินาที

2.ความยาวของขา

ถ้า ขาทั้ง 2 ข้างของคุณมีลักษณะสั้นม้อต้อ คำเตือนคือ คุณต้องหมั่นดูแลรักษาตับของคุณให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอ จากผลการศึกษาเมื่อปี 2008 พบว่า ผู้หญิงที่มีความยาวของขาระหว่าง 20-29 นิ้ว มีแนวโน้มว่าจะมีอัตราของเอนไซม์ 4 ตัวที่สูงเกินไปจนอสจก่อให้เกิดอันตรายต่อตับ นักวิจัยยังระบุอีกว่า ปัจจัยเรื่องของอาหารการกินในวัยเด็กนั้น เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ ไม่ได้ส่งผลเฉพาะต่อการเจริญเติบโตเท่านั้น แต่ยังทรงผลถึงพัฒนาการของตับในตอนโตอีกด้วย

ข้อแนะนำ หลีกเลี่ยงกระบวนการที่จะส่งสารพิษไปยังตับของคุณ เพราะนั่นจะช่วยทำให้ตับของคุณมีสุขภาพดีและยืดอายุการทำงานของมัน และคุณไม่ควรลืมสวมถุงมือหรือหน้ากากทุกครั้งที่ต้องสัมผัสกับสารอันตราย หรือสารเคมี ที่สำคัญต้องจำกัดปริมาณเครื่องดื่มแอลกฮอล์ต่อวันด้วย

3.สัญชาตญาณในการดมกลิ่น
จาก ผลการศึกษาเมื่อปี 2008 พบว่า ไม่่ว่าจะเป็นคนแก่หรือวัยรุ่นที่ไม่สามารถระบุกลิ่นของ กล้วย มะนาวชินนามอน(อมเชย) หรือกลิ่นของสิ่งอื่นๆได้ แน่นอนว่าคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรคพาร์กินสันภายใน 4 ปีมากกว่าคนปกติถึง 5 เท่า ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่า พื้นที่ของสมองที่รับผิดชอบประสาทสัมผัสการดมกลิ่นเป็นส่วนที่แรกที่จะส่งผล ต่อการเกิดโรคพาร์กินสัน บางครั้งอาจต้องใช้เวลาถึง 2-7 ปีกว่าจะแสดงอาการออกมาให้เห็น

4.ความยาวของแขน
ผล การวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัย Tufts พบว่า สำหรับผู้หญิงที่มีแขนค่อนข้างสั้น มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์มากกว่าคนที่มีท่อนแขนยาว ซึ่งคุณผู้หญิงสามารถทดสอบได้โดยการกางแขนของคุณขนานไปกับพื้นแล้ววัดความ ยาว หากน้อยกว่า 60 นิ้วถือว่ามีความยาวของแขนค่อนข้างน้อย

ข้อแนะนำ พยายามทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายอะไรที่ต้องใช้การยืดแขนของคุณ เช่น การฝาดภาพ ทำงานปั้น เป็นต้น จากผลการศึกษากว่า 5 ปี ของศูนย์อัลไซเมอร์ มหาวิทยาลัยศุนย์การแพทย์รัช พบว่า วัยรุ่นที่ใช้เวลาส่วนมากทำกิจกรรมที่ใช้พลังงาน หรือสมอง มีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์น้อยกว่าคนที่ไม่ทำกิจกรรมอะไรเลย 2.5 เท่า

5.รอยพับหรือรอยย่นที่ใบหูส่วนล่าง
ลักษณะ รอยย่นที่เป็นเส้นตรงที่ปรากฏบนใบหูไม่ว่าข้างเดียวหรือสองข้าง สามารทำนายอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกี่ยวกับหัวใจ ซึ่งหากเป็นรอยพับที่หูข้างเดียว นั่นแสดงว่าคุณมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรค 33%แต่ถ้าเป็นทั้งสองข้างนั่นแสดงคุณมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรค 77% อย่างไรก็ตามแม้ลักษณะดังกล่าวจะไม่ได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญ แต่อย่างน้อยอาการดังกล่าวที่ปรากฏให้เห็นก็เป็นสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังขาด ไฟเบอร์ที่ช่วยด้านความยืดหยุ่น

ข้อแนะนำ พยายามช่วยให้หัวใจของคุณแข็งแรงด้วยการควบคุมน้ำหนัก และออกกำลังกายสมำ่เสมอ เพื่อลดคอลเรสเตอร์รอลและความดันในเลือด

6.ขนาดกางเกงยีนส์จากรายงาน ด้านประสาทวิทยา พบว่าวัยรุ่นที่มีพุงค่อนข้างใหญ่ จะเสี่ยงต่อการเกิดอาการทางจิต หรือโรคจิตเสื่อม เพราะจากการศึกษาพบว่าในคนที่มีพุงหรือหน้าท้องใหญ่ เท่ากับว่าพวกเขามีไขมันที่เป้นอันตรายอยู่ใต้ผิวหนัง และเกาะอยู่ตามระบบอวัยวะต่างๆ ที่ส่งผลต่อฮอร์โมนที่ควบคุมระบบของความรู้สึกนึกคิด

ข้อแนะนำ ใส่ใจในการเลือกรับประทานอาหารมากขึ้น หันมาเลือกทานพวกน้ำมันมะกอก ถั่ว เมล็ดอโวคาโด และดาร์กช็อกโกแลต เพื่อป้องกันไขมันที่เป็นอันตราย

7.ขนาดของหน้าอก
จาก ผลการศึกษาของฝรั่งเศสพบว่า ผู้หญิงที่มีหน้าอกขนาดเล็กขนาด 13นิ้วหรือน้อยกว่า มีแนวโน้มจะเกิดคราบหรือตัวสกัดกั้นเส้นเลือดสำคัญบริเวณลำคอ อันจะก่อให้เกิดภาวะสมองขาดเลือดเฉียบพลัน นักวิจัยบอกว่า ไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังในผู้หญิงที่มีหน้าอกใหญ่จะมีมากกว่าคนที่หน้าอกเล็ก ซึ่งไขมันเหล่านี้จะทำหน้าที่ดึงไขมันตามเส้นเลือดและเก็บมันไว้ เพื่อลดอัตราเสี่ยงการเกิดอาการดังกล่าว


แหล่งอ้างอิง

5 ตุ๊กตา ยอดฮิตระดับโลก






5 ตุ๊กตา ยอดฮิตระดับโลก (นิตยสาร MIX)

Love Me Love My Dolls

 1. Barbie

กำเนิดอย่างเป็นทางการในปี 1959 ในงานอเมริกันทอย แฟร์ หลังจากมีการก่อตั้งบริษัท แมตเทล ในปี 1944 โดยเอลเลียด แฮนด์เลอร์ และ ฮาโรลด์ แมคสัน ซึ่งภายหลังแมคสันขายเลอร์หุ้นส่วนหนึ่งของตัวเองให้แฮนด์เลอร์ ทำให้แฮนด์เลอร์กับภรรยาของเขาเข้ามาทำธุรกิจนี้อย่างเต็มตัว ในงานของเล่นที่นิวยอร์ก เมื่อปี 1959 แมตเทลจึงออกผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า "บาร์บี้" เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นตุ๊กตานางแบบวัยรุ่นที่สวมชุดว่ายน้ำลายขาวดำ พร้อมกับแว่นกันแดดสุดเปรี้ยว รองเท้าส้นสูง ตุ้มหูห่วงสีทอง และผมหางม้าสูง 29 เซนติเมตร หนัก 11 ออนซ์ โดยชื่อบาร์บี้นั้นมาจากชื่อลูกสาวของแฮนด์เลอร์

ต่อมาตุ๊กตาบาร์บี้ได้รับความนิยมอย่างสูง จึงทำให้มีสร้างเป็นเรื่องราวออกมาว่าบาร์บี้เกิดที่ เมืองวิลโลว์ ที่วิสคอนชิน มีชื่อจริงว่า บาร์นี้ มิลลิเซ็นต์ โรเบิร์ดส์ เป็นบุตรสาวของ มาการ์เร็ด โรเบิร์ดส์ กับ โรเบิร์ด โรเบิร์ดส์ โดยมีน้องสาว ชื่อว่า สกิปเปอร์ ทูตติสเคซี และเคลลี พร้อมเพื่อนสนิทอย่างมิดจ์ บาร์บี้ได้เข้าเรียนในระดับไฮสคูลที่โรงเรียนวิลโลว์ ในเมืองวิลโลว์ รัฐวิสคอนชิน และเริ่มออกเดทกับเคนในปี 1961 ทั้งสองเป็นคู่รักที่สวีทกันมาตลอดว่า 40 ปี แต่แล้วความเปลี่ยนแปลงก็มาถึง กระแสของการแสวงหารักใหม่เข้ามามีบทบาทเหมือนคนจริงๆ เพราะสาวบาร์บี้แอบมีกิ๊กจนเลิกกับเคนในปี 2005 หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตสาวโสดอย่างสนุกสนามตามเทรนด์แฟชั่นที่เข้ามาในแต่ละปี

การผลิตเสื้อผ้าให้ตุ๊กตาบาร์บี้นั้นมีแบบต่างๆ ให้เลือกมากกว่า 500 แบบ จำหน่ายในกว่า 150 ประเทศ มียอดจำหน่ายมากกว่า 1 พันล้านตัว ราคาบาร์บี้สำหรับเด็กประมาณตัวละ 400-500 บาท หากเป็นรุ่นสะสม ก็จะมีราคา 1,100 บาทขึ้น แต่ถ้าเป็นรุ่นเก่าหายาก ก็จะมีราคาตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทขึ้นไปครับ






2. Teddy Bear

กำเนิดอย่างเป็นทางการในปี 1903 ที่เยอรมัน โดยในครั้งแรกยังไม่ได้เรียกมันว่าหมีเท็ดดี้ จนกระทั่ง เทโอดอร์ รูสเวลท์ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น ซึ่งเป็นคนที่ชอบล่าหมีเป็นชีวิตจิตใจ จนมีนักวาดการ์ตูนคนหนึ่งเขียนภาพล้อเลียนโดยมีเจ้าหมีตัวเล็กๆ อยู่ข้างหลังตลอดเวลา ทำให้ทุกคนเรียกหมีตัวนั้นว่าเจ้าเท็ดดี้ต่อมาพ่อค้าหัวใสขาวอเมริกันได้สั่งซื้อตุ๊กตาหมีจาก นางมาการ์เร็ต เท ซึ่งเป็นผู้ออกแบบจำนวน 3,000 ตัว ตุ๊กตาหมีเท็ดดี้จึงกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการนับแต่บัดนั้นเมื่อตุ๊กตาหมีขายดีขึ้นเรื่อยๆ จึงเกิดการเลียนแบบกันมากขึ้น ทำให้หลานชายของนางมาการ์เร็ต เท ต้องสร้างเอกลักษณ์ของตัวตุ๊กตาขึ้นมาโดยทำเป็นกระดุมติดอยู่ที่หู และมีแถบผ้าชิ้นเล็กๆ เขียนว่า Steiff ซึ่งก็คือชื่อบริษัทผู้ผลิตนั่นเอง

ปัจจุบันบริษัท Steiff ผลิตตุ๊กตาหมีเท็ดดี้ประมาณปีละ 1.5 ล้านตัว โดยหมีเท็ดดี้ที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์คือ หมีที่ทำขึ้นในปี ค.ศ.2000 ที่มีชื่อว่า Teddybr "Louis Vuittan" ในปี 2000 ที่มีมูลค่ารวมแล้วประมาณ 2 แสนยูโร เหตุที่มันแพงขนาดนี้ก็เพราะทำด้วยมือ มีชุดและเครื่องประดับ แถมยังมีลายปักอีกด้วย เมื่อนำไปประมูลราคาจึงสูงมาก โดยผู้ชนะการประมูลในครั้งนั้นเป็นชาวเกาหลีที่นิยมสะสมของหายาก






3. Kitty

คิตตี้เป็นตัวการ์ตูนลิขสิทธิ์ของบริษัท Sanrio ประเทศญี่ปุ่น สร้างเมื่อปี 1974 โดย อิคุโกะ ชิมิซุ หลังจากนั้น เซ็ตสึโกะ โยนิคุโบะ ก็ได้มาสานงานต่อ และส่งมอบให้ ยูโกะ ยามางูชิ ออกแบบเฮลโล คิตตี้มาเป็น อย่างที่เห็นในปัจจุบัน

คิตตี้นั้นโด่งดังไปทั่วโลก และปรากฎตามสินค้าต่างๆ มากมาย ทั้งบนกระดานวาดภาพ,โมเดลพลาสติกเล็กๆ ต่อมาในปี 1976 คิตตี้เริ่มปรากฏอยู่ตามกล่องอาหารชุด และไม่นานคิตตี้ก็ได้กลายมาเป็นการ์ตูนนั่นคือเรื่อง Hello Kitty's Furry Tale Theatre ที่ออกอากาศในปี 1987 ก่อนที่ในปี 1991 จะมีการสร้างการ์ตูนชุดออกมาในสหรัฐอเมริกา คือเรื่อง Hello Kitty and Friends จากนั้นประเทศญี่ปุ่นได้สร้าง Hello Kitty's Paradise ความยาว 16 ตอนออกอากาศในปี 1993-1994 และมีการนำไปแปลงเป็นภาษาอังกฤษด้วย

คิตตี้นั้นมีพื้นที่แสดงของตนเองที่เมืองมีชื่อว่า "Sanrio Puroland" อยู่ที่เมืองทามะ ประเทศญี่ปุ่น ที่สามารถดึงดูดคนได้มากกว่า 1.4 ล้านคนต่อปี และในปี 1991 ที่คิวชู ญี่ปุ่นถึงกับมีการสร้างสวนสาธารณะที่เป็นเสมือนอาณาจักรของคิตตี้ก็ว่าได้

ส่วนเรื่องราวย่อๆ ของคิตตี้มีดังนี้ครับ คิตตี้นั้นเกิดเดือนพฤศจิกายน ปี 1974 มีพี่น้องฝาแฝดชื่อ มิมมี่ ชอบทำคุกกี้ให้คิตตี้กิน คิตตี้ชอบกินของความหลายชนิด อย่างลูกกวาด พายแอปเปิล ฝีมือคุณแม่ คิตตี้ชอบสะสมดวงดาวเล็กๆ ปลาทอง เหรียญเงินและริบบิ้น ตั้งแต่พ่อของเธอไปทำงานที่นิวยอร์ค เธอก็มีเพื่อนมากมาย คิตตี้ชอบผู้ชายใจดีและเป็นมิตร รักครั้งแรกของคิตตี้คือหนุ่มที่ชื่อ Dear Danlel แต่ไม่นานเขาก็ต้องจากไปเพราะเดินทางตามครอบครัวไปแอฟริกา คิตตี้จึงได้มาคบกับ Tippy หมีเพื่อนร่วมชั้นเรียน







4. Blythe

กำเนิดอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1972 จากโรง Kenner สหรัฐอเมริกา ในตอนแรกได้จัดทำตุ๊กตาออกมาถึง 4 แบบคือ Blythe, Karess, Willow และ Skye ต่อมาทางโรงงานก็ได้จ้างดีไซน์เนอร์มาช่วยออกแบบให้ ซึ่งทำให้ตุ๊กตาสามารถเปลี่ยนสีลูกตาได้ แถมมีเครื่องแต่งกายมากมายที่สลับสับเปลี่ยนกันแทบไม่รู้จบ อย่างไรก็ตาม แต่แทนที่จะไปได้สวยกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะหน้าตาและสีสันของมันทำให้เด็กกลัวมาก จนต้องหยุดผลิตทั้งที่เปิดตัวได้เพียงแค่ปีเดียว ไม่นานนักก็เลิกใจการไปถึง 30 กว่าปี

หลังจาก 30 ปีผ่านไป ตุ๊กตาไบลทธ์ก็กลับมาอีกครั้ง และเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากการที่ Gina Garan โปรดิวเซอร์สาวชาวอเมริกาได้รับมอบตุ๊กตาจากเพื่อน และเธอก็พาไบลทธ์ไปกับเธอแทบทุกที่ทั่วโลก และถ่ายภาพจากกล้อง SLR โดยมี Blythe เป็นนางแบบ ภาพของเธอถูกนำมารวมเป็นหนังสือชื่อ This is Blythe และ Finecracker Altemative Book ผลก็คือ Gina Garan โด่งดังและนำพาให้ตุ๊กตาไบลทธ์ก็กลับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง และเมื่อบริษัท Tokoro ของประเทศญี่ปุ่นได้ลิขสิทธิ์ผลิตตุ๊กตา จึงทำการประชาสัมพันธ์จนทำให้ไบลทธ์เป็นที่รู้จักมากมาย ด้วยการยกให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับห้างสรรพสินค้าชื่อดัง และทำให้มีส่วนร่วมกับวงการแฟชั่นด้วยการหาแบรนด์เนมต่างๆ มาสนับสนุนทำให้วันนี้ไบลทธ์ กลายมาเป็นตุ๊กตาที่มีราคาขึ้นมาทันที ปัจจุบันราคาอยู่ที่หลักหลักพันจนไปถึงหมื่นบาทขึ้น





5. Rika-Chan

กำเนิดอย่างเป็นทางการ ค.ศ. 1967 โดยบริษัททาคาระ หลังจากที่นักเขียนการ์ตูนชื่อนาง มิยาโกะ มากิ ได้สร้างสรรค์ตุ๊กตาริกะจังขึ้นมาให้มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคนญี่ปุ่นมากกว่าชาวยุโรป ก็ทำให้เด็กสาวชาวญี่ปุ่นในสมัยนั้นเพลิดเพลินกับการเล่นตุ๊กตาเป็นพิเศษ เพราะตุ๊กตาริกะจังมีรูปแบบการแต่งตัวตามแฟชั่นและการเล่นไม่แพ้ตุ๊กตาบาร์บี้เลยทีเดียว


แหล่งอ้างอิง 

10 อันดับ สัตว์ที่อายุยืนที่สุด





อันดับ 10 คือ "ลิง" ญาติห่างๆ ของมนุษย์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วลิงจะมีอายุเฉลี่ย 25 ปี







 อันดับ 9 ได้แก่ "ช้าง" ซึ่งมีอายุเฉลี่ย 60 ปี โดยจะขึ้นอยู่กับการดูแล อาหารการกินและความเครียด ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้เปรียบเทียบอายุขัยระหว่างช้างเอเชียและช้างแอฟริกาแล้วพบว่า ช้างแอฟริกาที่ต้องผจญกับสัตว์ป่านานาชนิดและอาหารการกินที่ขัดสนกว่า ทำให้พวกมันเครียดและมีอายุขัยน้อยกว่าช้างเอเชีย อย่างไรก็ดี มีบันทึกว่าประเทศญี่ปุ่นเคยมีช้างที่มีอายุมากที่สุดในโลกคือ 86 ปี







 อันดับ 8 คือสัตว์ที่ไม่มีใครอยากให้มันมีชีวิตที่ยืนยาวนัก เพราะมันมักได้รับบทตัวร้ายในละครเสมอๆ นั่นคือ "อีกา" นั่นเอง ด้วยเหตุผลที่อีกาจะมีคู่เพียงตัวเดียวตลอดอายุขัย ทำให้มันไม่เหนื่อยล้าจนเกินไป นอกจากนี้ การสืบพันธุ์ยังเป็นตัวกำนันนาฬิกาชีวภาพให้หมุนเร็วขึ้นด้วย อีกาจึงมีอายุขัยสูงถึง 90 ปี ซึ่งพบอีกว่านกหลายๆ ชนิดก็มีอายุที่ยืนยาวไม่ต่างจากอีกามากนัก เช่น นกกระตั้ว







 อันดับ 7 คือ "กุ้งก้ามกราม" ด้วยอายุขัย100 ปี ถือว่าอายุยืนที่สุดในสัตว์จำพวกมีเปลือกแข็งด้วยกัน ด้วยเหตุผลที่มันมีการเคลื่อนไหวและเผาผลาญพลังงานน้อย







 อันดับ 6 คือ "หอยมุกน้ำจืด" ด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เผาผลาญพลังงานน้อย กินน้อย ใช้ก๊าซออกซิเจนในการหายใจน้อย ทำให้มันสามารถคว้าอันดับ 6 มาครองได้ ด้วยอายุขัยมากกว่า 110 ปี





 อันดับ 5 คือ มนุษย์เรานี่เอง โดยมีอายุขัยสูงสุด 120 ปี ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อที่จารึกไว้ในคัมภีร์ศาสนาคริสต์และฮินดูที่ว่า มนุษย์จะมีอายุขัยได้ไม่เกิน 120 ปี อย่างไรก็ตามระยะหลังมานี้ มนุษย์มีแนวโน้มที่จะมีอายุทะลุ 100 ปีมากขึ้นเรื่อยๆ เคล็ดลับการมีอายุยืนของผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลายล้วนระบุตรงกันถึงการบริโภคอย่างพอดี การออกกำลังกายแต่พอดี ไม่ใช้ร่างกายอย่างหักโหมและมีทัศนคติที่ดี





 อันดับ 4 ตกเป็นของปลาโบราณร่วมยุคกับไดโนเสาร์ที่มีไข่ที่เอร็ดอร่อยที่สุดในโลก นั่นคือ "ปลาสเตอร์เจียน" ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พบว่า มันสามารถมีอายุได้สูงถึง 150 ปีทีเดียว โดยคาดกันว่าน่าจะเป็นผลมาจากยีนอายุยืนที่พิสูจน์แล้วมามีอยู่จริงของมัน





 อันดับ 3 ตกเป็นของพี่เบิ้มสิ่งมีชีวิตนั่นคือ "ปลาวาฬออร์ก้าในทวีปแอนตาร์กติก"ด้วยอายุขัย 200 ปี






 อันดับ 2"เต่า" ถือเป็นสิ่งมีชีวิตอายุยืนอันดับ 2 ที่มีอายุขัยประมาณ 250 ปี โดยเต่าที่มีอายุยืนที่สุดในโลกขณะนี้คือ "เต่ากาลาปากอส" ที่มีชื่อว่า "แฮเรียน" ตัวเดียวกันกับที่ "ชาร์ลส์ ดาร์วิน" นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้อง จับมันมาใช้ชีวิตเมืองเมื่อหลายสิบปีก่อน โดยชาร์ลสเองก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สิ่งมีชีวิตชนิดนี้มีอายุยืนกว่าเขาเองเสียอีก โดยสาเหตุที่เชื่อว่าเต่ามีอายุยืนยาว สืบเนื่องจากการเคลื่อนไหวที่เนิบช้า และความไม่เดือดเนื้อร้อนใจใดๆ นั่นเอง





อันดับที่ 1 จะเป็นของใครไปไม่ได้เลย นอกจากสิ่งมีชีวิตที่ใช้ชีวิตดำดิ่งอยู่ก้นมหาสมุทรอันมืดมิดด้วยอุณหภูมิเย็นเฉียบ มันคือ "ฟองน้ำยักษ์" ซึ่งมีอายุสูงอย่างไม่น่าเชื่อถึง 10,000 ปี หรืออาจกล่าวว่า มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีวันตายก็ได้ และเมื่อถามถึงปัจจัยที่ทำให้ฟองน้ำยักษ์มีอายุยืนที่สุดในโลก หลายคนอาจเบนหน้าหนีด้วยที่ว่า มันแทบไม่กินและไม่กระดุกระดิกเลย จนนักวิทยาศาสตร์ถึงกับแซวมันว่า หากมนุษย์ต้องการที่จะมีอายุยืนต้องอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ไม่กินอาหารและอยู่นิ่งๆ เหมือนโดนสต๊าฟไว้แล้ว ก็เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากอายุยืนเหมือนมันอย่างแน่นอน

แหล่งอ้างอิง  http://hilight.kapook.com/view/27765

ปลากินยุง

ปลากินยุง หรือที่นิยมเรียกว่า ปลาแกมบูเซีย  เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็กชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gambusia affinis อยู่ในวงศ์ปลาสอด (Poeciliidae)

มีรูปร่างลักษณะทั่วไปคล้ายปลาหางนกยูง ซึ่งเป็นปลาที่มีความใกล้เคียงกันและอยู่ในวงศ์เดียวกัน แต่ทว่าปลาแกมบูเซียมีขนาดรูปร่างที่ใหญ่กว่า ปากแหลมกว่าและปลายปากจะเชิดขึ้นด้านบน ที่ตามีเส้นสีเข้มพาดในแนวดิ่งผ่านรูม่านตาลงมาถึงใต้ตา มีครีบหลัง ลำตัวกลมมีโครง 7 ซี่ ครีบก้นและครีบท้อง มีโครง 6 ซี่ ที่เส้นข้างลำตัวมีเกล็ด 27-30 อัน

ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ เมื่อโตเต็มที่อาจจะมีขนาดยาวได้ถึง 3 นิ้ว ในขณะที่ตัวผู้มีขนาดยาวเพียง 1.5 นิ้ว ทั้งนี้ปลาตัวเมียและตัวผู้มีจุดสีเข้ม ซึ่งมักเห็นได้ชัดเจนเมื่อยังเล็ก ต่อเมื่อโตขึ้นจุดดังกล่าวมักจางลง หากดูด้านข้างของปลาตัวเมียในที่สว่างจ้าจะเห็นสีเหลือบของสีเขียว, สีฟ้า และสีเหลือง โดยรวมแล้วสีสันจะสวยสดกว่าปลาหางนกยูง

ปลาแกมบูเซียเป็นปลาที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ที่ทวีปอเมริกาเหนือ แถบรัฐเทกซัส โดยมีพฤติกรรมเหมือนเช่นปลาในวงศ์ปลาสอดชนิดอื่น ๆ กล่าวคือ เป็นปลาที่หากินอยู่บริเวณผิวน้ำ อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง สามารถปรับตัวอยู่ได้ทุกสภาพแหล่งน้ำ ทั้งห้วย หนอง คลอง บึง หรือในที่ ๆ ที่แหล่งน้ำไม่สะอาด มีออกซิเจนต่ำ

ปลาแกมบูเซีย มีอายุขัยตลอดชีวิตอยู่ได้ราว 12 เดือน หรือ 1 ปี ในบางตัวอาจอยู่ได้ยาวถึง 15 เดือน กินจำพวก ตัวอ่อนของแมลงเช่น ลูกน้ำเป็นอาหาร รวมถึงแพลงก์ตอนพืช แพลงก์ตอนสัตว์, ตะไคร่น้ำ และพืชเซลล์เดียวได้ด้วย ลูกปลาที่เกิดใหม่มีขนาดยาวประมาณ 7-10 มิลลิเมตร และสามารถกินลูกน้ำได้ทันที เฉลี่ยแล้วในวันหนึ่ง ปลาแกมบูเซียตัวหนึ่งอาจกินลูกน้ำได้เป็นร้อยตัว ซึ่งนับได้ว่ากินเก่งกว่าปลาหางนกยูงมาก ปลาตัวเมียเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 6-8 สัปดาห์ ปลาตัวเมียมีถุงพิเศษใช้เก็บน้ำเชื้อของตัวผู้ ซึ่งการผสมพันธุ์หนึ่งครั้งจะมีน้ำเชื้อมากพอ สำหรับใช้ผสมกับไข่ได้หลายท้อง ปลาแกมบูเซียออกลูกเป็นตัวโดยจะออกลูกท้องละ 40-100 ตัว (ใช้เวลาออกลูก 21-28 วันต่อหนึ่งท้อง) แต่ละท้องห่างกันประมาณ 6 สัปดาห์ และตลอดชีวิตของจะตั้งท้องได้ 3-4 ครั้ง


ปลาตัวผู้








ปลาตัวเมีย









ปริศนาเขาวงกต



เมื่อสี่พันกว่าปีก่อนโน้น เกาะครีต(CRETE) ซึ่งเป็นเกาะหนึ่งในทะเลเมดิเตอร์-เรเนียน มีสภาพเป็นศูนย์กลางแห่งอารยธรรมไมโนอัน อันรุ่งเรือง นับได้ว่าดินแดนในแถบนี้มีวัฒนธรรมประเพณี และความมั่งคั่งมาก่อนกรีกหลายศตวรรษ ทว่าในท้ายที่สุด ดินแดนอารยธรรมนี้ก็พบกับความพินาศล่มจมจากการที่เกาะธีรา (Thira เดี๋ยวนี้คือเกาะซานโครินี อยู่ห่างออกไป 70 ไมล์) อันเป็นเกาะสำคัญของแผ่นดินได้ถูกคลื่นยักษ์จากแรงภูเขาไฟระเบิดถล่มทลาย สร้างความเสียหายให้จนย่อยยับ อารยธรรมไมโนอันก็จางหายไปจากโลกจากนั้น เป็นต้นมา(เรื่องนี้อาจเป็นต้นเค้าของตำนานแอตแลนติส ซึ่งถูกเทพลงโทษด้วยการส่งน้ำมาท่วมเกาะก็เป็นได้)

ครีตไม่มีร่องรอยอะไรหลงเหลืออยู่ นอกจากตำนานกษัตริย์ ไมนอส และ มิโนทอร์ (Minotaur) สัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งวัว จอมตะกละ อาศัยอยู่ในเขาวงกตใต้ พระราชวัง แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านมาจนกระทั่ง ถึงศตวรรษที่ 20เซอร์ อาเธอร์ อีแวน ผู้หลงใหลตำนาน กลับพลิกแผ่นดินเกาะครีต หาเมืองหลวง คนอสสอสเผยขึ้นปรากฏแก่สายตา ผู้คนทั่วโลกสำเร็จ

ใครๆก็พากันตื่นเต้น คิดว่าตำนานเป็นจริง


ที่นี่ เซอร์อีแวน พบซากเมืองขนาดใหญ่ อยู่ใกล้กับท่าเรือ เมื่อประมาณเอาจากสิ่งก่อสร้างหลงเหลือต่างๆ คนอสสอสคงเคยมีพลเมืองถึง 100,000 คน และคงเป็นเมืองมั่งคั่งร่ำรวยเอาการ โดยเฉพาะถ้าจะพิเคราะห์จากซากสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งโดดเด่นที่สุด สิ่งก่อสร้างหลังนี้เป็นอาคารเล่นระดับ มีห้องนับเป็นร้อย และมีบางส่วนอยู่ใต้ดิน ส่วนที่สมบูรณ์ที่สุดแสดงให้เห็นว่า ผนังมีการประดับตกแต่งด้วยภาพเฟรสโกสีสดใส เป็นเรื่องราวของชีวิตในท้องทะเล นางระบำ และการบูชาวัว

นอกเหนือจากนี้ ในสิ่งก่อสร้าง ยังมีสิ่งของต่างๆ อีกมาก ทั้งยุ้งทำด้วยหิน เศษเครื่องดนตรี ขวานทำด้วยบรอนซ์ และหัวธนู กระดานตารางหมากรุก ขนาดใหญ่ ราวเมตรคูณเมตร ทำจากทองคำฝังงา แก้วและดินเผาเคลือบมัน มีห้องโถงด้านหน้า ก็มีการปูหินอลาบาสเตอร์ ขัดมัน แถมด้วยเสาหินอันแสดงลักษณะ สิ่งก่อสร้างของชาวไมโนอันอีกด้วย


เซอร์ อีแวน และนักโบราณคดีหลายคน จึงสรุปเอาจากหลักฐานที่พบว่า ที่นี่ต้องเป็นพระราชวัง ของกษัตริย์เป็นแน่แท้ ผู้คนต่างพากันเชื่อถือเซอร์ อีแวน อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง จนกระทั่งผู้เชี่ยวชาญชาวเยอรมัน ฮันส์ จอร์จ วันเดอลิช มีความเห็นแตกต่างออกไป

เขาว่าสิ่งที่เซอร์ อีแวน พบไม่น่าใช่ พระราชวังหรอก แต่เป็นสุสานขนาดใหญ่มากกว่า!

วันเดอลิช อ้างว่า ไหขนาดใหญ่ที่นัก โบราณคดีพบ และคิดว่าเอาไว้สำหรับเก็บเมล็ดพืชน้ำมันและไวน์ อันที่จริงแล้วน่าจะเป็นไหสำหรับใส่ศพ ซึ่งคนโบราณนิยมดองร่างไว้ด้วย น้ำผึ้ง ส่วนหินที่คิดว่าเป็นยุ้งก็น่าจะเป็นตัวสุสานเสียเอง เช่นเดียวกับภาพเขียน ก็คงไม่ได้มีไว้ตกแต่ง แต่น่าจะเป็นวิธีบอกวิญญาณถึงการเปลี่ยนภาวะไปสู่ชีวิตหลังความตาย

วันเดอลิชยืนยัน (ส่วนจะนั่งยันด้วยหรือเปล่า เอกสารไม่ได้บอกไว้) ว่า ที่นี่ต้องไม่ใช่พระราชวังแน่ ด้วยเหตุที่ประการแรก สิ่งก่อสร้างตั้งอยู่ในบริเวณป้องกัน การรุกรานของศัตรูจากแผ่นดินได้ยาก ข้อสอง ไม่มีน้ำพอสำหรับคนจำนวนมาก ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ประการที่สามที่ร้ายที่สุด ไม่ยักมีครัวและคอกม้าอยู่ตรงไหนเลย หรือว่าคนที่อยู่ที่นี่ไม่ต้องกิน ไม่ต้องเดินทาง


เขายังเน้นต่อไปอีกว่า ห้องที่เชื่อกันว่าเป็นห้อง สำหรับพระราชวงศ์หลายห้อง ก็ชื้นแฉะไม่มีหน้าต่าง และยังอยู่ต่ำกว่าพื้นดินเสียอีก ใครหนอจะทนอุดอู้อยู่ในห้องอับ ไม่ออกมาชื่นชมธรรมชาติอันน่ารื่นรมย์ ของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้ ไม่น่าจะใช่ที่ที่คนอยู่เลยจริง จริ๊ง

แต่สำหรับเราคนที่สนใจฟัง คงได้แต่ทำตาปริบๆไปพลางก่อน จนกว่าจะมีใครสักคนหาหลักฐานที่น่าเชื่อถือมาหักล้างให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลยว่า ระหว่างเซอร์ อาเธอร์ อีแวน กับ ฮันจ์ จอร์จ วันเดอลิช ใครจะแน่กว่ากัน...แหะ แหะ

เกร็ดตำนานคนครึ่งวัว

ที่มาของความเชื่อเรื่องเขาวงกต มาจากตำนานกรีกเรื่องหนึ่ง กล่าวถึงพระนางปาซิปาอี มเหสีของราชาไมนอส ถูกสาปให้ไปหลงรักวัวขาว ที่สามีของเธอไม่ยอมแก้บนบูชายัญไปให้โป-ไซดอนเจ้าแห่งทะเล ผลพวงของความรักต่างสปีชี่ ทำให้เกิดสัตว์ ประหลาดครึ่งคนครึ่งวัวเรียกกันว่า มิโนทอร์ (Minotaur) เจ้าตัวนี้แหละที่ทำให้พระราชาแสนจะอับอาย เพราะว่ามันประจานความผิดของพระองค์ในแง่ไม่ รักษาสัญญา เลยจำเป็นต้องจับเจ้าเด็กประหลาดขังไว้ในห้องเขาวงกตที่แดดาลุสออกแบบ


กาลต่อมา เมื่อราชาไมนอส ยกกองทัพไปตีเอเธนส์ชนะ พระองค์เรียกร้อง บรรณาการเป็นหนุ่มสาว ชาวเอเธนส์อย่างละเจ็ดคนทุกปี เอาไปให้มิโนทอร์รับประทาน เรื่องจบลงตรงที่ครั้งสุดท้าย วีรบุรุษเธสซีอุส เดินทางมาเป็นบรรณาการมีชีวิต ได้ฆ่าสัตว์ประหลาด ด้วยกำลังมหาศาลของเขา และสามารถหาทางออกมาจากเขาวงกต ด้วยอุบายกลุ่มด้ายที่อรีแอดนี่บอกให้....

ตำนานนี้ดูเหมือนจะเป็นนิทานไร้ความจริง แต่พอพระราชวังที่คนอสสอสเผยโฉมขึ้น เราจะเห็นทันทีว่า ออกแบบอาคารพระราชวังนี้ มันซับซ้อนเสียจนคนไม่เคยไปมีสิทธิ์หลงเขาได้ง่ายๆ ไหน จะมีบันไดอยู่หลายอันในระยะใกล้ๆกัน แต่กลับเชื่อมห้องต่างๆในต่างชั้น ไหนเฉลียงหลาย ที่นำมาจากลานแห่งหนึ่งไปสู่ทางเลี้ยวและหักมุม ไหนจะห้องที่สร้างไว้อย่างแปลกๆ ความซับซ้อนชวนงงเช่นนี้ อาจเป็นรากฐานความเชื่อเรื่องเขาวงกต (Labyrinth) ได้ไม่ยากเลย
แหล่งอ้างอิง  

พจนานุกรม



พจนานุกรม เป็นหนังสืออ้างอิงประเภทหนึ่ง โดยทั่วไป หมายถึง หนังสือที่รวบรวบคำศัพท์ในวงศัพท์ที่กำหนด และนิยามความหมายเอาไว้ เพื่อใช้เป็นที่ค้นหาความหมายของคำ โดยมีการเรียงลำดับคำศัพท์ตามตัวอักษร ตามเสียง หรือตามลำดับอื่นๆ ที่เหมาะสมสอดคล้องกับการใช้พจนานุกรมนั้นๆ พจนานุกรมยังมีนัยถึงหนังสือที่ให้รายละเอียด ครอบคลุมวงศัพท์ที่กว้าง ขณะที่หนังสือรวบรวมและอธิบายคำศัพท์ในวงแคบและมีจำนวนจำกัด มักจะเรียกว่า ปทานุกรม อย่างไรก็ตาม คำว่าปทานุกรมและพจนานุกรมอาจใช้สลับกันได้

คำว่า พจนานุกรม เป็นการคิดคำขึ้น จาก พจน (คำพูด) และ อนุกรม (ลำดับ ระเบียบ ชั้น) รวมกันด้วยวิธีสมาส เป็น “พจนานุกรม” หมายถึง หนังสือที่รวบรวมและเรียงลำดับคำ(พูด) เอาไว้ อย่างไรก็ตาม คำว่า “พจนานุกรม” เป็นการสร้างขึ้นมาเพื่อแปลศัพท์ dictionary ในภาษาอังกฤษนั่นเอง

รูปแบบของพจนานุกรม

-พจนานุกรมภาษาเดียว มักเป็นพจนานุกรมหลัก ที่อธิบายความหมายของคำในภาษาหนึ่งๆ ภาษาที่อธิบายความหมาย เป็นภาษาเดียวกับภาษาที่ลำดับเป็นหลักในพจนานุกรม วงศัพท์ในพจนานุกรมภาษาเดียวมักจะกว้าง แทบจะครอบคลุมทุกคำที่มีอยู่ในภาษานั้นหรือแวดวงนั้น (แม้ว่าจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม)
-พจนานุกรมสองภาษา เป็นพจนานุกรมที่อธิบายความหมายของคำในภาษาหนึ่งๆ ด้วยอีกภาษาหนึ่ง เราพบเห็นได้ทั่วไป เช่น พจนานุกรมภาษาอังกฤษ ที่มีการให้ความหมายเป็นภาษาไทย หรือในทางกลับกัน การอธิบายความหมายนั้น อาจจะสั้น หรือให้ความหมายยืดยาวอย่างละเอียด ก็ยังเรียกว่า พจนานุกรมสองภาษา เช่นกัน
-พจนานุกรมหลายภาษา เป็นพจนานุกรมที่ มักจะเทียบศัพท์จากภาษาหนึ่ง ไปเป็นศัพท์ภาษาอื่นๆ มากกว่า 1 ภาษา พจนานุกรมลักษณะนี้ ไม่เน้นความละเอียดในการอธิบายศัพท์ เนื่องจากข้อจำกัดของเนื้อที่ และเพื่อความสะดวกในการค้นหาศัพท์ เช่น ปทานุกรม บาลี ไทย อังกฤษ สันสกฤต ฉบับ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ
-พจนานุกรมเฉพาะทาง เป็นพจนานุกรมที่รวบรวมคำศัพท์เฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น พจนานุกรมศัพท์วิศวกรรม พจนานุกรมศัพท์วรรณคดี เป็นต้น
-พจนานุกรมคำสัมผัส เป็นพจนานุกรมที่ลำดับคำ ตามเสียงสระ และเสียงพยัญชนะตัวสะกด เพื่อประโยชน์ในการแต่งคำประพันธ์ เอาเสียงสัมผัส อย่างไรก็ตาม พจนานุกรมแบบนี้พบได้น้อย เนื่องจากมีผู้ใช้ในวงจำกัด
-พจนานุกรมคำเหมือนและคำตรงข้าม เป็นพจนานุกรมที่รวบรวมคำศัพท์ที่มีความหมายอย่างเดียวกันเรียงไว้เป็นลำดับ โดยมากมักจะมีคำศัพท์ที่มีความหมายตรงกันข้ามเอาไว้ด้วย


คุณลักษณะของพจนานุกรม

-การสะกด การสะกดในพจนานุกรมถือเป็นมาตรฐานในการใช้งาน และถือเป็นหน้าที่หลักลำดับแรกของพจนานุกรม บางภาษามีการเขียนแยกคำไว้ให้ เพื่อความสะดวกในการพิมพ์ที่จำเป็นต้องขึ้นบรรทัดใหม่ นอกจากนี้บางคำที่สามารถสะกดได้มากกว่า 1 แบบ พจนานุกรมจะเก็บไว้ด้วย
-ความหมาย การอธิบายความหมาย อาจเป็นข้อความสั้นๆ หรือให้รายละเอียดมาก แจกแจงเป็นข้อย่อยๆ การให้ความหมายถือเป็นหัวใจหลักของพจนานุกรมส่วนใหญ่
-คุณสมบัติทางไวยากรณ์ นั่นคือระบุประเภทของคำ ว่าเป็น คำนาม คำกริยา คำสรรพนาม ฯลฯ ซึ่งมักปรากฏในพจนานุกรมภาษา (ไม่ใช่พจนานุกรมศัพท์เฉพาะ)
-ตัวอย่างประโยค และปริบท พจนานุกรมอาจยกตัวอย่างประโยคเพื่อให้เข้าใจความหมายและการใช้คำนั้นๆ ง่ายขึ้น บางเล่ม มีตัวอย่างประโยคสำหรับทุกคำในพจนานุกรมเลยทีเดียว
-การออกเสียง สำหรับภาษาเขียนที่มีเกณฑ์การออกเสียงที่ซับซ้อน และไม่สามารถคาดคะเนได้จากรูปเขียนอย่างถูกต้อง เช่น ภาษาอังกฤษ, ภาษาจีน และแม้กระทั่งภาษาไทยก็ตาม พจนานุกรมจะระบุการออกเสียงไว้ด้วย บางเล่มออกเสียงให้ทุกคำ ขณะที่บางเล่มระบุการออกเสียงให้เฉพาะคำที่อ่านยาก หรือเป็นข้อยกเว้น
-ประวัติคำ หรือที่มาของคำ พจนานุกรมที่มีความละเอียด จะให้ที่มีของคำ ว่าพบครั้งแรกที่ใด หรือ
คุณลักษณะอื่นๆ เช่น การใช้คำ ความหมายแฝง หรือข้อควรสังเกตอื่นๆ

แหล่งอ้่างอิง  

ที่มาของ "ไอศกรีม"



ไอศกรีม  หรือภาษาปากว่า ไอติม เป็นของหวานแช่แข็งชนิดหนึ่ง ได้จากการผสมส่วนผสม นำไปผ่านการฆ่าเชื้อ แล้วนั้นนำไปปั่นในที่เย็นจัด เพื่อเติมอากาศเข้าไปพร้อม ๆ กับการลดอุณหภูมิ โดยอาศัยเครื่องปั่นไอศกรีม ไอศกรีมตักโดยทั่วไปจะต้องผ่านขั้นตอนการแช่เยือกแข็งอีกครั้งก่อนนำมาขายหรือรับประทาน
ต้นกำเนิดของไอศกรีมนั้น ไม่เป็นที่แน่ชัดมาเริ่มจากไหน บางข้อมูลก็ว่าเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยจักรพรรดิเนโรแห่งจักรวรรดิโรมัน ที่ได้มีการพระราชทานเลี้ยงไอศกรีมทหาร โดยในสมัยนั้นทำจากเกล็ดน้ำแข็ง (หิมะ) ผสมน้ำผึ้งและผลไม้ ซึ่งคล้ายกับไอศกรีมเชอร์เบตในปัจจุบัน แต่บ้างก็ว่ามาจากประเทศจีน เกิดจากเมื่อสมัยโบราณที่นมถือเป็นของหายาก จึงได้มีการคิดวิธีเก็บรักษาโดยการเอาไปฝังในหิมะ จึงเกิดเป็นไอศกรีมขึ้น แม้จะไม่ได้มีลักษณะเหมือนกับไอศกรีมอย่างทุกวันนี้
[แก้]ประวัติ

แต่บ้างก็ว่ามาจากอิตาลีโดยมาร์โค โปโล กลับจากจีนแล้วเอาสูตรไอศกรีมมาเผยแพร่ ซึ่งในตอนนั้นไอศกรีมของจีนยังไม่มีนม เป็นคล้ายน้ำแข็งไสมากกว่า ยังมีจุดเริ่มต้นจากอังกฤษเมื่อสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 พ่อครัวคนหนึ่งมีสูตรเด็ดเป็นครีมแช่แข็งปรุงรส ซึ่งเป็นสูตรลับสุดยอดที่ส่งเป็นของหวานถวายพระองค์ ทว่าเมื่อพระองค์ถูกปลงพระชนม์โดยโอลิเวอร์ ครอมเวลล์ ระหว่างสงครามกลางเมืองอังกฤษระหว่างปี ค.ศ. 1642-ค.ศ. 1651 พ่อครัวต้องลี้ภัยไปยุโรปจึงได้นำสูตรไอศกรีมนี้เผยแพร่ออกไป


ไอศกรีมในประเทศไทย

ไอศกรีมหลอด หรือไอศกรีมแท่งแบบไทย

ในประเทศไทยนั้น ไอศกรีมเริ่มเข้ามาในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมตะวันตกที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนำมาเผยแพร่ในสยาม หลังเสร็จประพาสอินเดีย, ชวาและสิงคโปร์ น้ำแข็งในตอนแรก ๆ ก็ยังไม่สามารถผลิตในประเทศได้ จึงต้องนำเข้าจากประเทศสิงคโปร์ เมื่อไทยสั่งเครื่องทำน้ำแข็งเข้ามาก็เริ่มมีการทำไอศกรีมกินกันมากขึ้น ถือว่าไอศกรีมเป็นของเสวยเฉพาะสำหรับเจ้าขุนมูลนายเท่านั้น ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพบันทึกไว้ว่า

"ไอศกรีมเป็นของที่วิเศษในเวลานั้น เพราะเพิ่งได้เครื่องทำน้ำแข็งอย่างเล็กที่เขาทำกันตามบ้านเข้ามา ทำบางวันน้ำก็แข็งบางวันก็ไม่แข็ง มีไอศกรีมบ้างบางวันก็ไม่มี จึงเห็นเป็นของวิเศษ"


โดยไอศกรีมในพระราชวังนั้นจะทำจากน้ำมะพร้าวอ่อน ใส่เม็ดมะขามคั่ว จนต่อมาเมื่อมีโรงงานทำน้ำแข็ง แต่ก็ยังถือเป็นของชั้นดี โดยมีไอศกรีมระดับชาวบ้านทำเองด้วย ในช่วงแรก ๆ นั้นไอศกรีมกะทิมีลักษณะเป็นน้ำแข็งละเอียดใส ๆ รสหวานไม่มาก และมีกลิ่นหอมของดอกนมแมว ในสมัยนั้นวิถีการกินของผู้คนจะนิยมกินอาหารกันในเรือนแพ เหมือนที่สมัยนั้นจะขายก๋วยเตี๋ยว หรือกาแฟกันบนเรือ

ลักษณะของไอศกรีมกะทิใส่ถ้วยพร้อมโรยด้วยถั่วลิสงคั่วก็มีมาตั้งแต่สมัยนั้น ซึ่งต่อมาไอศกรีมกะทิก็มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาขึ้น จากกะทิใส ๆ ก็มีความเข้มข้น มีการใส่ลอดช่อง, เม็ดแมงลัก และขนุนฉีกเข้าไป โดยคนไทยได้ดัดแปลงไอศกรีมของต่างชาติมาเป็นไอติมกะทิ โดยใช้กะทิสดผสมกับน้ำตาลนำไปปั่นให้แข็ง เนื้อไอติมค่อนข้างใสเป็นเกล็ดน้ำแข็งละเอียด เวลารับประทานต้องขูดไอติมออกจากขอบหม้อโลหะเมื่อไอติมเริ่มแข็งตัว ตอนขายตักใส่ถ้วยเป็นลูก ๆ เรียกไอติมตัก กินกับถั่ว ข้าวเหนียว หรือลูกชิด บางคนกินกับขนมปังที่หั่นเป็นท่อน และมีรอยแยกเป็นร่องอยู่ตรงกลาง

ส่วน ไอศกรีมหลอด หรือไอศกรีมแท่งก็เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 7 โดยใช้น้ำหวานใส่หลอดสังกะสีและเขย่าให้แข็ง และมีก้านไม้เสียบ โดยจะใส่ถังขับไปขายตามถนน สั่นกระดิ่งเป็นสัญญาณเพื่อเรียกลูกค้า นอกจากนี้ยังมีจุดขายที่การลุ้นไอศกรีมฟรีจากไม้เสียบที่หากมีสีแดงป้ายอยู่ก็จะได้กินฟรีอีกหนึ่งแท่งด้วย ซึ่งไอศกรีมแบบหลอดก็มีการพัฒนาจนมาเป็นไอศกรีมโบราณที่มีส่วนผสมของนมโดยมีลักษณะเป็นแท่งสี่เหลี่ยม อาจทานเป็นแท่ง หรือตัดใส่ถ้วยรับประทานก็ได้

แหล่งอ้่างอิง  

ปริศนา กะโหลกแก้ว






ว่ากันว่ามีกะโหลกแก้วลึกลับอันทรงพลังจากอารยธรรมแห่งอดีตอยู่ 13 หัว หากใครได้ครอบครองมันทั้งหมด อาจจะสามารถเป็นเจ้าโลกได้ด้วยอำนาจอันมหัศจรรย์!!!

ตำนานว่าด้วยปริศนาแห่งกะโหลกแก้วเป็นเรื่องที่เล่าลือกันมานานแล้ว และเมื่อพิพิธภัณฑ์ มนุษยชาติ แห่งพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษได้มาหัวหนึ่งใน พ.ศ. 2441 หรือเมื่อ 110 ปีก่อน ก็ยิ่งทำให้คำเล่าลือโด่งดังขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใครได้จ้องมองเข้าไปในดวงตาของกะโหลกแก้ว ก็มักอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงพลังอำนาจบางอย่าง พลังที่พนักงานของพิพิธภัณฑ์ไม่ยอมเข้าไปในห้องที่จัดแสดงกะโหลกนี้ในยามค่ำคืน หากไม่เอาผ้าดำปิดดวงตากลวงคู่นั้นไว้เสียก่อน

ไม่มีใครรู้แน่ว่ากะโหลกแก้วปริศนาขนาดเท่าๆ กับกะโหลกคนจริงๆ นี้มาจากไหน พิพิธภัณฑ์ซื้อมันมาจากร้านขายเครื่องเพชรทิฟฟานี่แห่งนิวยอร์ก ซึ่งไม่ได้ระบุถึงที่มาอันชัดเจน แต่เป็นที่เข้าใจว่ากะโหลกแก้วนี้น่าจะเป็นโบราณวัตถุจากอารยธรรมแอซเท็ค ซึ่งนายทหารบางคนได้มันมาเมื่อครั้งไปร่วมรบที่เม็กซิโก ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19






ในขณะที่ปริศนาของกะโหลกแก้วแห่งพิพิธภัณฑ์นี้ยังไม่สามารถคลี่คลายได้ ก็มีการค้นพบกะโหลกแก้วอีกหัวหนึ่งใน พ.ศ. 2467 เมื่อแอนนา มิทเชลล์-เฮดจ์ส บุตรีบุญธรรมของเฟ็ดเดอริค อัล-เบิร์ท มิทเชลล์-เฮดจ์ส นักผจญภัยและนักสำรวจชื่อดังได้พบมันเข้าโดยบังเอิญ

ตอนนั้นเฟ็ดเดอริคและทีมงานกำลังสำรวจเมืองโบราณลูบานทูมในบริติชฮอนดูรัสแล้วจู่ๆ แอนนาก็พบกะโหลกแก้วเข้าในวันเกิดครบรอบปีที่ 17 ของเธอ ทำให้คนขี้สงสัยบางรายอดค่อนแคะไม่ได้ว่าที่จริงคุณพ่อผู้แสนดีอาจจะพบมาก่อนแล้ว แต่อยากให้ของขวัญวันเกิดสุดเซอร์ไพรส์แก่ลูกสาว ก็เลยแอบเอาไปวางไว้ให้แอนนาได้ชื่อว่าเป็นผู้ค้นพบ

แต่ไม่ว่าการพบครั้งแรกจะเป็นอย่างไรก็ตาม กะโหลกแก้วที่เรียกขานกันต่อมาว่ากะโหลกของมิทเชลล์-เฮดจ์สนี้ ก็เป็นหนึ่งในกะโหลกแก้วที่โด่งดังที่สุดในโลก ด้วยความเชื่อที่ว่ามันเป็นมรดกตกทอดมาจากอดีตอันไกลโพ้น จากอารยธรรมขั้นสูงที่สูญสลายไปแล้ว และหากมองดวงตาแก้วปริซึมนี้ให้ดีจะเห็นภาพของอนาคตปรากฏขึ้น






กะโหลกของมิทเชลล์-เฮดจ์สนี้ทำจากแก้วบริสุทธิ์ ผ่านการขัดเกลาอย่างสมบูรณ์ไม่มีที่ติ สันนิษฐานว่าผู้ที่สร้างขึ้นต้องใช้เวลากว่า 150 ปี จากรุ่นสู่รุ่นกว่าจะเกิดเป็นกะโหลกปริศนาที่มีการประมาณการอายุกันคร่าวๆ ว่าน่าจะเก่าแก่กว่า 3,600 ปี เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ช่วยรักษาเยียวยาความเจ็บป่วย แต่ในขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นเครื่องมือกำหนดความตายของผู้ที่กระทำสิ่งไม่เหมาะสม ทำให้กะโหลกนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กะโหลกมรณะ

นักวิทยาศาสตร์ของพิพิธภัณฑ์อังกฤษได้ตรวจสอบกะโหลกทั้งสอง และพบว่ามีลักษณะทางสรีรวิทยาร่วมกัน กล่าวคือน่าจะเป็นกะโหลกที่ทำจำลองขึ้นมาจากหัวกะโหลกคนจริงๆ ที่เป็นผู้หญิงคนเดียวกัน เพราะเมื่อถ่ายภาพเชิงซ้อนแล้วพบว่าแนวของกระดูกเข้ากันพอดี หรืออีกนัยหนึ่ง กะโหลกแก้วอันใดอันหนึ่งถูกทำขึ้นมาก่อน แล้วเป็นแบบให้อีกอันหนึ่ง

กะโหลกแก้วทั้ง 2 ชิ้น ที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นพี่น้องกันนี้ นับเป็นกะโหลกแก้วที่ถูกจับตามองที่สุด และถูกนำไปตรวจสอบด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ นานามากที่สุด แต่ก็ยังไม่มีคำตอบอะไรที่ชัดเจนเกี่ยวกับที่มาหรือวัตถุประสงค์ที่มันถูกสร้างขึ้น และหลังจากที่กะโหลกแก้วทั้งสองกลายเป็นของมีชื่อเสียงขึ้นมา ก็มีการประกาศการค้นพบกะโหลกแก้วในลักษณะคล้ายๆ กันอีกเป็นจำนวนมาก






แต่ด้วยความเชื่อจากตำนานเก่าแก่ที่กล่าวถึงกะโหลกแก้ว 13 หัว ทำให้ต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดว่า ไอ้ที่พบกันมากๆ เป็นของจริงหรือของเก๊ และเท่าที่ปรากฏมาหลายหัวก็เป็นของทำเทียมเลียนแบบด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่ก็มีอีกหลายหัวเหมือนกันที่ได้การยอมรับว่าเป็นของเก่าที่มีพลังบางอย่างแฝงอยู่

กะโหลกแก้วที่มีชื่อเสียงตามมิทเชลล์-เฮดจ์สมาติดๆ คือกะโหลกที่เคยเป็นของลามะทิเบตนามนอร์วู เชน ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากสุสานมายันในกัวเตมาลา ท่านลามะใช้กะโหลกนี้เป็นเครื่องมือในการรักษาผู้ป่วยอย่างได้ผล จนกระทั่งก่อนที่ลามะนอร์วู เชน จะมรณภาพก็ได้มอบกะโหลกนี้ไว้ให้แก่โจแอน พาร์คส์ ชาวเท็กซัส ซึ่งฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านมานานหลายปี หลังจากที่ท่านได้ใช้กะโหลกนี้ช่วยรักษาอาการป่วยลูกสาวของเธอมาแล้ว

โจแอนซึ่งได้กะโหลกนี้มาใน พ.ศ. 2523 อ้างว่ากะโหลกแก้วสื่อสารกับเธอ และพร่ำบอกว่าเขาชื่อแม็กซ์ และเขามีความสำคัญต่อมนุษยชาติ และแม็กซ์ก็ประกาศศักดาให้เห็นมาแล้วหลายครั้งด้วยการช่วยเหลือผู้คนที่เจ็บป่วย กะโหลกแก้วที่สำคัญอีกหัวหนึ่งชื่อชานารา ซึ่งเป็นของนิค โนเซอริโน ซึ่งไม่เพียงจะมีกะโหลกแก้วในครอบครองเท่านั้น แต่เขายังเป็นผู้ที่ศึกษาอย่างจริงจังจนเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ด้วย






นิคได้กะโหลกนี้มาจากการขุดค้นเมืองโบราณที่เม็กซิโก และเมื่อได้มันมา เขาก็เห็นภาพนิมิตว่ากะโหลกตามตำนานมี 13 หัว โดย 12 หัว เป็นบริวารของกะโหลกที่เป็นหัวหน้าใหญ่ มีการตั้งทฤษฎีว่ากะโหลกเหล่านี้ไม่ใช่ของแอซเท็คหรือมายันอย่างที่เคยเข้าใจ แต่เป็นสิ่งที่หลงเหลือมาจากแอตแลนตีส อาณาจักรปริศนาที่ยังหาไม่พบ และกะโหลกเหล่านี้ทำหน้าที่ในการบันทึกภาพต่างๆ ซึ่งหลายคนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าของกะโหลกก็อ้างว่าในบางเวลาที่จังหวะและแสงเหมาะๆ ก็เคยเห็นภาพจากกะโหลกแก้วมาแล้ว โดยเฉพาะกะโหลกแก้วของมิทเชลล์-เฮดจ์ส ที่ว่ากันว่ามีคนเห็นภาพยูเอฟโอสะท้อนออกมา

มีเสียงเล่าลือว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่กะโหลกที่แท้จริงทั้ง 13 หัว ถูกค้นพบและนำมาไว้ด้วยกันก็จะเห็นภาพของอนาคต แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าเรายังไม่สามารถพิสูจน์ความเชื่อนี้ เพราะยังมีเพียงไม่กี่หัวที่สามารถบอกได้ว่าเป็นของแท้ เช่น แม็กซ์และชานารา ซึ่งเคยถูกวิเคราะห์จากนักวิทยาศาสตร์แล้วคิดว่าน่าจะมีอายุราวๆ 5,000 ปี และของมิทเชลล์เฮดจ์สที่เก่าแก่เหมือนกัน ในขณะที่กะโหลกที่เคยโด่งดังมากอีกหัวหนึ่งที่พิพิธภัณฑ์อังกฤษนั้น เพิ่งจะมีการตรวจสอบซ้ำด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ และผลปรากฏออกมาว่าน่าจะเป็นของที่ทำปลอมขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19 นี่เอง ทำเอานักโบราณคดีที่ชอบไปนั่งจ้องตากับกะโหลกหัวนี้เซ็งไปตามๆ กัน

แหล่งอ้างอิง  http://hilight.kapook.com/view/24065

ประวัติความเป็นมา วันปีใหม่


ความหมายของ วันขึ้นปีใหม่
ความหมายของวันขึ้นปีใหม่ ตามพจนานุกรม ฉบับราชตบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคำว่า " ปี" ไว้ดังนี้ ปี หมายถึง เวลา ชั่วโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งราว 365 วัน : เวลา 12 เดือนตามสุริยคติ



ประวัติความเป็นมา

วันปีใหม่ มีประวัติความเป็นมาซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและความเหมาะสม ตั้งแต่ในสมัยเริ่มแรกเมื่อชาวบาบิโลเนียเริ่มคิดค้นการใช้ปฏิทิน โดยอาศัยระยะต่าง ๆ ของดวงจันทร์เป็นหลักในการนับ เมื่อครบ 12 เดือนก็กำหนดว่าเป็น 1 ปี และเพื่อให้เกิดความพอดีระหว่างการนับปีตามปฏิทินกับปีตามฤดูกาล จึงได้เพิ่มเดือนเข้าไปอีก 1 เดือน เป็น 13 เดือนในทุก 4 ปี

ต่อมาชาวอียิปต์ กรีก และชาวเซมิติค ได้นำปฏิทินของชาวบาบิโลเนียมาดัดแปลงแก้ไข อีกหลายคราวเพื่อให้ตรงกับฤดูกาลมากยิ่งขึ้นจนถึงสมัยของกษัตริย์จูเลียต ซีซาร์ ได้นำความคิดของนักดาราศาสตร์ชาวอียิปต์ชื่อ โยซิเยนิส มาปรับปรุง ให้ปีหนึ่งมี 365 วัน ในทุก ๆ 4 ปี ให้เติมเดือนที่มี 28 วัน เพิ่มขึ้นอีก 1 วัน เป็น 29 วัน คือเดือนกุมภาพันธ์ เรียกว่า อธิกสุรทิน

เมื่อเพิ่มในเดือนกุมภาพันธ์มี 29 วันในทุก ๆ 4 ปี แต่วันในปฏิทินก็ยังไม่ค่อยตรงกับฤดูกาลนัก คือเวลาในปฏิทินยาวกว่าปีตามฤดูกาล เป็นเหตุให้ฤดูกาลมาถึงก่อนวันในปฏิทิน

และในวันที่ 21 มีนาคมตามปีปฏิทินของทุก ๆ ปี จะเป็นช่วงที่มีเวลากลางวันและกลางคืนเท่ากัน คือเป็นวันที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นตรงทิศตะวันออก และลับลงตรงทิศตะวันตกเป๋ง วันนี้ทั่วโลกจึงมีช่วงเวลาเท่ากับ 12 ชั่วโมง เท่ากัน เรียกว่า วันทิวาราตรีเสมอภาคมีนาคม (Equinox in March)

แต่ในปี พ.ศ. 2125 วัน Equinox in March กลับไปเกิดขึ้นในวันที่ 11 มีนาคม แทนที่จะเป็นวันที่ 21 มีนาคม ดังนั้น พระสันตะปาปาเกรกอรี่ที่ 13 จึงทำการปรับปรุงแก้ไขหักวันออกไป 10 วันจากปีปฏิทิน และให้วันหลังจากวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2125 แทนที่จะเป็นวันที่ 5 ตุลาคม ก็ให้เปลี่ยนเป็นวันที่ 15 ตุลาคมแทน (เฉพาะในปี 2125 นี้) ปฏิทินแบบใหม่นี้จึงเรียกว่า ปฏิทินเกรกอเรี่ยน จากนั้นได้ปรับปรุงประกาศใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันเริ่มต้นของปีเป็นต้นมา

ความเป็นมาของ วันขึ้นปีใหม่ไทย

ในอดีต วันขึ้นปีใหม่ของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 4 ครั้งคือ ครั้งแรกถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ซึ่ง ตรงกับเดือนมกราคม ครั้งที่ 2 กำหนดให้วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ตามคติพราหมณ์ ซึ่งตรงกับเดือนเมษายน
การกำหนดวันขึ้นปีใหม่ใน 2 ครั้งนี้ ถือเอาทางจันทรคติเป็นหลัก ต่อมาได้ถือเอาทางสุริยคติแทน โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ.2432 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะตามชนบทยังคงยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็น วันขึ้นปีใหม่อยู่ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทางราชการเห็นว่าวันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ไม่สู้จะมีการรื่นเริงอะไรมากนัก สมควรที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ จึงได้ประกาศให้มีงานรื่นเริงวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน 2477 ขึ้นใน กรุงเทพฯเป็นครั้งแรก

การจัดงานวันขึ้นปีใหม่ที่ได้เริ่มเมื่อวันที่ 1 เมษายน ได้แพร่หลายออกไปต่างจังหวัดในปีต่อๆมา และในปี พ.ศ.2479 ก็ได้มีการ จัดงานรื่นเริงปีใหม่ทั่วทุกจังหวัด วันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ในสมัยนั้นทางราชการเรียกว่า วันตรุษสงกรานต์

ต่อมาได้มีการพิจารณาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น ซึ่งมีหลวงวิจิตรวาทการ เป็นประธานกรรมการ ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคม 2484 เป็น วันขึ้นปีใหม่เป็นต้นไป

เหตุผลที่ทางราชการได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายนมาเป็นวันที่ 1 มกราคม ก็คือ
1. ไม่ขัดกับพุทธศาสนาในด้านการนับวัน เดือน และการร่วมฉลองปีใหม่ด้วยการทำบุญ
2. เป็นการเลิกวิธีนำเอาลัทธิพราหมณ์มาคร่อมพระพุทธศาสนา
3. ทำให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศทั่วโลก
4. เป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรม คตินิยม และจารีตประเพณีของชาติไทย

กิจกรรมที่ชาวไทยส่วนใหญ่มักจะยึดถือปฏิบัติในวันขึ้นปีใหม่ได้แก่
1. การทำบุญตักบาตร โดยอาจตักบาตรที่บ้าน หรือไปที่วัดหรือตามสถานที่ต่างๆที่ทางราชการเชิญชวนไปร่วมทำบุญ
2. การกราบขอพรจากผู้ใหญ่ และอวยพรเพื่อนฝูง การมอบของขวัญ การมอบช่อดอกไม้ หรือการส่งบัตรอวยพร
3. การจัดงานรื่นเริง การจัดเลี้ยงในหมู่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องหรือตามหน่วยงานต่างๆ
วันขึ้นปีใหม่นับเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เราได้ทบทวนถึงการดำเนินชีวิตในอดีต เพื่อจะได้แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในอดีตให้ดีขึ้น

กิจกรรมใน วันขึ้นปีใหม่
วันที่ 1 มกราคม ของทุกปี จะมีการทำบุญตักบาตรและอุทิศส่วนกุศลผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ฟังเทศน์ ปล่อยปลา ปล่อยนก อวยพรซึ่งกันและกัน หรืออาจจะส่งการ์ดบัตรอวยพร ของขัวญไหว้ผู้ใหญ่เพื่อรับพร และสรงน้ำพระพุทธรูป ประดับธงชาติ และจะเตรียมทำความสะอาดบ้าน และที่พักอาศัย

แหล่งอ้างอิง http://www.baanmaha.com/community/thread7576.html

ทำไมประเทศพม่าจึงเปลี่ยนชื่อเป็น 'เมียนมาร์'




1. ทำไมประเทศพม่าจึงเปลี่ยนชื่อเป็น 'เมียนมาร์' แล้วทำไมเรายังเรียกพม่าอยู่
2.ประเทศ 'Slovenia' อ่านว่าอย่างไรกันแน่ 'สโลวีเนีย' 'สโลเวเนีย' หรือ 'สโลวาเนีย'
3. ในฟุตบอลโลก ทำไมมีอยู่หนึ่งประเทศที่มีชื่อเรียกไม่เหมือนกัน บ้างก็เรียก 'ไอวอรี่โคสต์' (Ivory Coast) บ้างก็เรียก 'โกตดิวัวร์' (Cote d' Ivoire) ตกลงเราต้องเรียกว่าอะไรกันแน่



คำถามแรกที่ว่าด้วยชื่อประเทศพม่านั้น หลังจากที่เราได้ไปค้นมาแล้วก็พบว่า รัฐบาลทหารพม่าได้ทำการเปลี่ยนชื่อเรียกประเทศในภาษาอังกฤษจาก 'เบอร์มา' (Burma) มาเป็น 'เมียนมาร์' (Myanmar) ตั้งแต่ปี 1989

ไม่เพียงแต่ชื่อประเทศเท่านั้นที่ถูกเปลี่ยน ทว่าชื่อเมือง และสถานที่สำคัญๆ ต่างๆ อีกหลายแห่งก็ถูกเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ไม่เว้นแม้แต่ชื่อเมืองหลวงของประเทศที่เปลี่ยนจาก 'ย่างกุ้ง' (Rangoon) มาเป็น 'ยางโกง' (Yangon)

สำหรับเหตุผลในการเปลี่ยนชื่อประเทศครั้งนี้ สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นเพราะรัฐบาลทหารพม่าต้องการลบเลือนร่องรอยต่างๆ ที่สร้างขึ้นโดยลัทธิล่าอาณานิคมในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2

โดยในช่วงที่อังกฤษเข้ามาครอบครองพม่านั้นได้ตั้งชื่อเรียกสถานที่ต่างๆ ในพม่าใหม่แทบทั้งหมด รวมถึงชื่อประเทศด้วย ซึ่งชื่อ 'เบอร์มา' น่าจะเพี้ยนมาจากคำว่า 'บามาร์' (Bamar) ซึ่งเป็นชื่อของชนเผ่าที่ใหญ่ที่สุดในพม่า นั่นเอง

ส่วนชื่อ 'เมียนมาร์' ที่รัฐบาลทหารตั้งขึ้นมาใหม่นั้นมีความหมายตามภาษาท้องถิ่นว่า "เข้มแข็งขึ้นอย่างรวดเร็ว" โดยคำว่า 'เมียน' (Myan) มีความหมายว่า "รวดเร็ว" ส่วน 'มา' (ma) แปลว่า "เข้มแข็ง"

ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าทางการพม่าจะประกาศเปลี่ยนชื่อประเทศของตนอย่างเป็นทางการ แต่องค์กรต่างๆ รวมถึงรัฐบาลของชาติตะวันตกหลายๆ ประเทศกลับไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และก็ยังคงใช้ชื่อเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า 'เบอร์มา' เช่นเคย ด้วยเหตุนี้ ถ้าหากเราลองสังเกตดูแผนที่ประเทศพม่าที่ทำขึ้นโดยคนต่างชาติ ก็จะพบว่ามีการระบุชื่อสถานที่สำคัญๆ ของประเทศเป็น 2 แบบ กล่าวคือ มีทั้งชื่อเดิมที่อังกฤษตั้ง และชื่อใหม่ที่รัฐบาลทหารพม่าตั้ง

สำหรับคนไทยเรานั้นตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็เรียกดินแดนแห่งนี้ว่า 'พม่า' มาโดยตลอด ซึ่งสันนิษฐานได้ว่า น่าจะเพี้ยนมาจากชื่อเรียกชนเผ่าบามาร์เช่นกัน และไทยเองก็เป็นหนึ่งในหลายๆ ประเทศที่ยังคงเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า 'พม่า'

ทว่า หากจะถามเหตุผลว่าทำไมหลายๆ ชาติจึงไม่ยอมรับชื่อใหม่ของพม่าแล้วล่ะก็ คำตอบก็น่าจะเป็นเพราะชาติเหล่านี้ไม่ยอมรับความชอบธรรมของรัฐบาลทหารพม่า นั่นเอง

เอาล่ะหมดเรื่องประเทศพม่าก็มาต่อกันที่ชื่อเรียกประเทศ 'Slovenia' ที่ถูกต้อง จะต้องเรียกว่า 'สโลวีเนีย' ทั้งนี้ อ้างตาม "ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีและประกาศราชบัณฑิตยสถาน ว่าด้วยเรื่องการกำหนดชื่อประเทศ ดินแดน เขตการปกครอง และเมืองหลวง" ซึ่งถือเป็นมาตรฐานสากลที่ทางการไทยของเราใช้ทั่วกัน

สุดท้าย ประเทศ 'ไอวอรี่โคสต์' (Ivory Coast) หรือ 'โกตดิวัวร์' (Cote d' Ivoire) นั้นแท้จริงแล้วก็คือประเทศเดียวกัน โดยชื่ออย่างเป็นทางการของประเทศนี้คือ 'โกตดิวัวร์' ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศส หมายถึง 'เกาะสีงา' แต่เมื่อมีการนำมาแปลเป็นภาษาอังกฤษก็จะมีความหมายว่า 'ไอวอรี่โคสต์' ดังนั้น สำนักข่าวภาคภาษาอังกฤษบางแห่งจึงนิยมเรียกชื่อประเทศดังกล่าวว่า 'ไอวอรี่โคสต์'

แหล่งอ้างอิง  

วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การเกิดพายุ


การเกิดพายุนั้นต้องอาศัยปัจจัยหลายประการ โดยเฉพาะเรื่องของอุณหภูมิของกระแสน้ำยิ่งอุณหภูมิมากแนวโน้มที่จะกลายเป็นพายุที่มีความรุนแรงก็ยิ่งเพิ่มขึ้นตาม มักเกิดในทะเลที่มีอุณหภูมิสูงตั้งแต่ 26-27 ํc ขึ้นไป มีปริมาณไอน้ำสูง เมื่อเกิดขึ้นแล้วมักเคลื่อนตัวตามกระแสลมส่วนใหญ่จากทิศตะวันออกมาทางทิศตะวันตก และค่อยๆ โค้งขึ้นไปทางละติจูดสูง แล้วเวียนโค้งกลับไปทางทิศตะวันออกอีก และมีชื่อเรียกต่างกันไปตามแหล่งกำเนิด เช่น มหาสมุทรแปซิฟิกเหนือตะวันตก เราจะเรียกว่า “ไต้ฝุ่น” ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือแถวทะเลแคริบเบียนและอ่าวเม็กซิโก รวมทั้งมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ ฝั่งตะวันตกของประเทศเม็กซิโกจะเรียกว่า “เฮอริเคน” แต่หากเกิดในบริเวณมหาสมุทรอินเดีย จะเรียกว่า “ไซโคลน” สุดท้ายมหาสมุทรอินเดียใต้และทวีปออสเตรเลีย จะเรียกว่า “วิลลี่ วิลลี่” จะเกิดมากที่สุดในเดือนกรกฎาคม สิงหาคม กันยายน และตุลาคม

หลักการตั้งชื่อพายุ

ความเป็นมาของการตั้งชื่อพายุในสมัยก่อน ที่ชื่อพายุจะตั้งชื่อเป็นผู้หญิงเพื่อจะได้ฟังดูแล้วลดความน่ากลัวลง (บางแหล่งข้อมูลกล่าวถึงนักเดินเรือที่ตั้งชื่อพายุเป็นชื่อผู้หญิงเพื่อนึกถึงลูกเมีย) แต่กลุ่มสตรีในอเมริกาได้ประท้วงหาว่าเปรียบเทียบว่าผู้หญิงมีความโหดร้าย จึงมีการตั้งชื่อผู้ชายด้วยในภายหลัง โดยทางอเมริกาที่มีดาวเทียมตรวจสภาพอากาศ ดูการเคลื่อนไหวของพายุ เป็นคนตั้งชื่อพายุของทั่วโลกมาโดยตลอด กระทั่งปี พ.ศ. 2543 ได้มีการเปลี่ยนแปลงการตั้งชื่อพายุ โดยเปิดให้ประเทศในโซนต่างๆ เสนอชื่อพายุได้ประเทศละ 10 ชื่อ แต่ไม่ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่แน่ชัดในการตั้งชื่อ กำหนดเพียงให้ใช้ภาษาท้องถิ่นของแต่ละประเทศเท่านั้น
สำหรับประเทศไทย เราอยู่ในโซนมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกตอนบนและทะเลจีนใต้ รวมกับอีกหลายประเทศ ได้แก่ กัมพูชา สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (เหนือ) ญี่ปุ่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาเก๊า มาเลเซีย ไมโครนีเซีย (รัฐอิสระอยู่บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือหมู่เกาะอินโดนีเซีย) ฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐเกาหลี (ใต้) สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม
กรมอุตุนิยมวิทยา ได้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณารายชื่อและความหมายของชื่อพายุ เพื่อนำเสนอในที่ประชุมของคณะกรรมการไต้ฝุ่น (Joint Typhoon Warning Center) ที่เกาะกวม อันประกอบด้วยตัวแทนทั้ง 14 ประเทศมาประชุมร่วมกัน จนได้ชื่อพายุของไทยที่รู้จักกันโดยทั่วไปก็คือ พระพิรุณ ทุเรียน วิภา รามสูร เมขลา นิดา มรกต ชบา กุหลาบ และขนุน นั่นเอง จากนั้นแต่ละชื่อจะถูกเรียงตามลำดับตัวอักษร (ภาษาอังกฤษ) ของแต่ละประเทศ โดยเริ่มจากประเทศกัมพูชา และปิดท้ายด้วยเวียดนาม (ประเทศไทยเราอยู่อันดับที่ 12) แบ่งเป็น 5 กลุ่มๆ ละ 28 ชื่อ รวมเป็น 140 ชื่อ เรียงตามอันดับแรกของแต่ละประเทศ เมื่อใช้หมด 1 กลุ่ม ก็จะขึ้นชื่อแรกของกลุ่มที่ 2 ใช้เรียงกันไปเรื่อยจนครบทุกชื่อ
จึงกลับมาใช้ชื่อแรกของกลุ่มที่ 1 ใหม่อีกครั้ง

เลือกใช้ชื่อพายุอย่างไร

เมื่อเรากำหนดชื่อพายุที่จะใช้ในแถบโซนมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกตอนบนและทะเลจีนใต้ได้ครบแล้ว หน่วยงานที่จะกำหนดว่าพายุที่ก่อตัวขึ้นมานั้น มีความรุนแรงในระดับที่จะตั้งชื่อได้หรือไม่ ถ้าตั้งได้ควรจะใช้ชื่ออะไร การใช้ชื่อพายุนั้นจะแบ่งพายุเป็น 3 ระดับ คือ
1. พายุดีเปรสชั่น (Depression) เป็นพายุกำลังอ่อน มีความเร็วลมใกล้ศูนย์กลางไม่เกิน 33 นอต หรือประมาณ 62 กม./ชม. พายุในระดับนี้เราจะยังไม่ตั้งชื่อ แต่จะเรียกว่าเป็นพายุดีเปรสชั่น จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนการเฝ้าระวัง ว่าพายุดีเปรสชั่นนั้นจะอ่อนกำลังลงจนสลายตัว หรือจะเพิ่มกำลังจนกลายเป็น 'พายุโซนร้อน'
2. พายุโซนร้อน (Tropical Storm) เป็นพายุกำลังปานกลาง มีความเร็วลมใกล้ศูนย์กลาง อยู่ที่ 34-63 นอต หรือประมาณ 63-117 กม./ชม. จะใช้ชื่อที่กำหนดไว้มาเรียกพายุลูกนี้
3. พายุไต้ฝุ่น (Typhoon) เป็นพายุที่มีความรุนแรงที่สุด มีความเร็วลมใกล้ศูนย์กลาง ตั้งแต่ 64 นอต หรือประมาณ 118 กม./ชม. ขึ้นไป ก็จะยังใช้ชื่อเดิมขณะเป็นพายุโซนร้อนอยู่จนกว่าจะสลายตัวไป

แหล่งอ้างอิง

10 อันดับ ดอกไม้ที่สวยที่สุด



ขึ้นชื่อว่าดอกไม้ก็สวยอยู่แล้ว แต่ดอกไม้ที่สวยมากจนติดอันดับจะเป็นอะไรบ้าง ลองมาดูกัน

10.Cherry Blossom
ซากุระ  เป็นดอกไม้ประจำชาติของญี่ปุ่น มีถิ่นกำเนิดในจีนตอนใต้ เกาะไต้หวัน หมู่เกาะโอกินาวา ญี่ปุ่น ลักษณะเด่นของซากุระก็คือ เมื่อร่วง จะร่วงพร้อมกันหมด ซากุระจึงเป็นสัญลักษณ์ของเลือดทหารและซามูไรของญี่ปุ่น  "cherry blossom" หรือ"Japanese Flowering Cherry" จะบานในช่วงปลายมีนา-ต้นเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ อุณหภูมิเริ่มอุ่นขึ้นจากฤดูหนาวที่หมดไป ดอกซากุระ ในภาษาญี่ปุ่นนั้น เชื่อกันว่ากร่อนมาจากคำว่า ซะกุยะ (หมายถึง ผลิบาน) อันเป็นชื่อของเจ้าหญิง โคโนฮะนะซะคุยาฮิเม มีศาลบูชาของพระองค์อยู่บนยอดเขาฟูจิด้วย สำหรับพระนามของเจ้าหญิงองค์ดังกล่าวนั้น มีความหมายว่าเจ้าหญิงดอกไม้บาน และเนื่องจากซากุระเป็นดอกไม้ที่นิยมกันมากในญี่ปุ่นสมัยนั้น คำว่าดอกไม้ดังกล่าวจึงหมายถึงดอกซากุระนั่นเอง เจ้าหญิงองค์ดังกล่าวได้รับพระนามเช่นนั้น ก็เพราะมีเรื่องเล่ามาว่าทรงตกจากสวรรค์ มาบนต้นซากุระ ดังนั้น ดอกซากุระจึงถือเป็นตัวแทนของดอกไม้ญี่ปุ่น ขณะที่รัฐบาลประกาศให้ดอกเก็กฮวย (ดอกเบญจมาส) เป็นดอกไม้ประจำชาติ


9.Canna
"พุทธรักษา" ซึ่งหมายถึง พระพุทธเจ้าทรงปกป้องคุ้มครอง ให้มีแต่ความสงบสุขร่มเย็น ซึ่งมีเรียกกันมากว่า 200 ปี และสีเหลืองอันเป็นสีประจำวัน พระราชสมภพขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของปวงชนชาวไทย การมอบดอกพุทธรักษาให้กับพ่อ จึงเสมือนกับการบอกถึง ความรักและเคารพบูชาพ่อ ผู้สร้างความสงบสุขร่มเย็นให้แก่ครอบครัว คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นพุทธรักษาไว้ประจำบ้านจะช่วยปกป้องคุ้มครอง ไม่ให้มีเหตุร้ายหรืออันตรายเกิดแก่บ้านและผู้อาศัย เพราะพุทธรักษาเป็นพรรณไม้ที่เชื่อกันว่า มีพระเจ้าคุ้มครองรักษาให้มีความสงบสุข คือเป็นไม้มงคลนามนั่นเอง


8.Bird of Paradise
ปักษาสวรรค์ หรือ เบิร์ดออฟพาราไดส์ (Bird of paradise) เป็นพืชดอก มีลำต้นทั้งที่เป็นลำต้นเดี่ยว และออกเป็นกอ มี 2 ลักษณะ คือ มีลำต้นใต้ดินเป็นเหง้า และชนิดที่มีลำต้นเหนือดินเห็นชัดเจน ปักษาสวรรค์มีลักษณะลำต้น ใบ และดอกคล้ายเฮลิโคเนีย แต่ไม่ได้อยู่วงเฮลิโคเนียแต่อย่างใด ซึ่งปักษาสวรรค์อยู่วงศ์ Strelitziaceae ส่วนเฮลิโคเนียอยู่วงศ์ Heliconiaceae

7.Hydrangea
ไฮ เดรนเยียเป็นพืชที่มีเสน่ห์มาก สีของดอกของมันสามารถเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงค่า pH สามารถทำให้เปลี่ยนสีดอกไฮเดรนเยียบางชนิดได้ มันมักจะเปลี่ยนสีของดอกมันเองเมื่อปลูกลงดินหรือย้ายไปปลูกที่อื่น ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าคุณเห็นต้นไฮเดรนเยียมีหลายสีในต้นเดียวในปีต่อมา สีดอกไฮเดรนเยียจะเปลี่ยนจากสีชมพูเป็นสีน้ำเงินได้ง่ายกว่าจากสีน้ำเงินไป เป็นสีชมพู


6.Calla Lily
คาลล่า ลิลลี่ (Calla Lily) เป็นพันธุ์ไม้หัว ที่มีหลากหลายสายพันธุ์ มีต้นกำเนิดในแอฟริกาใต้ สามารถแบ่งได้เป็น 2 สายพันธุ์ค่ะ คือพันธุ์ไม้ยืนต้น ที่ปลูกเพื่อเป็นไม้ตัดดอก (Cut Flower) และพันธุ์ไม้ล้มลุก ซึ่งจะมีการพักหัวในฤดูหนาว นิยมปลูกเป็นไม้กระถาง (Pot Flower) ถึงแม้คาลล่า ลิลลี่จะเป็นทางเลือกใหม่ที่คุ้มค่าสำหรับเกษตรกร ที่ต้องการปลูกเพื่อเป็นไม้ตัดดอก เนื่องจากลงทุนปลูกครั้งเดียว แต่สามารถตัดดอกขายได้ต่อเนื่องนานถึง 4- 5 ปีโดยไม่ต้องขุดหัวขั้นมาปลูกใหม่ แต่คาลล่า ลิลลี่ก็ยังมีข้อจำกัดเรื่องอุณหภูมิในการปลูก เหมาะสำหรับเกษตรกรที่อยู่บนที่สูงหรือบนดอย ที่มีอุณหภูมิที่ 18 - 24 องศาเซลเซียส


5.Bleeding Heart
เหตุที่เขาได้ชื่อว่า bleeding heart ก็เพราะว่า เมื่อดอกเขาผลิใหม่ ๆ ยังตูม ๆอยู่ที่ปลายแหลมของหัวใจด้านล่าง จะมีติ่งรูปร่างคล้ายหยดน้ำ มีสีแดง ๆ ดูเหมือนหยดเลือด แต่เมื่อดอกเริ่มบาน ตัวหยดจะเปิดออกให้เห็นใส้สีขาว ๆ อยู่ข้างใน คราวนี้จะเห็นหยดน้ำไหลออกมาจากหัวใจแทน คนเยอรมันเห็นตรงนี้เหมือนหยดน้ำตา เลยเรียกดอกนี้ว่า Traenendes herz ดอกหัวใจเจ้าน้ำตาตามความเป็นจริงแล้ว ดอกไม้นี้ดอกค่อนข้างเล็ก คนที่เคยเห็นเล่าให้ฟังว่า ขนาดดอกเท่ากับปลายหัวแม่โป้งเท่านั้นเอง แต่ความงดงามเป็นเลิศ เขาบรรยายให้ฟังว่า ดอกไม้นี้สวยงามอ่อนช้อย และน่ารักมาก ๆ เมื่อเพ่งดูอย่างพินิจแล้วจะไม่รู้สึกเลยว่าดอกไม้สื่อความหมายในแง่ความเศร้า ความเสียใจ หรือ ความสลดหดหู่ใด ๆ แต่กลับให้ความหมายออกมาในลักษณะของความปิติ ความสดชื่นเบิกบาน เป็นไปได้ไหมว่า หยดเลือด หรือหยดน้ำตานั้น มันเป็นสัญญลักษณ์ของความดีใจ


4.Blue Bells
ต้นไม้ป่ามีดอกสีฟ้ารูปร่างเหมือนระฆัง บลูเบล พบทั่วไปในบริเทน แต่ค่อนข้างหายากในยุโรป ใบของบลูเบลค่อนข้างหนา เพื่อป้องกันต้นของมันจากการถูกกระต่ายกิน นึกภาพกระต่ายแทะบลูเบลสิ บลูเบลมีชื่อหลายชื่อ อย่าง ไฮยาซินป่า, Ring O Bell, Wood Bell และก็ Hare Bell

3.Lantana
ผกากรองเป็นไม้พุ่มที่พบทั่วไปในบ้านเรา ใบจะมีสีเขียวเข้ม ใบรูปไข่ขอบใบจักเล็กน้อย ผิวใบจะมีขนอยู่ ทำให้รู้สึกสาก ๆ เมื่อจับต้อง ผกากรองนิยมปลูกเป็นไม้ประดับ โดยอาจปลูกเป็นแถวหรืออาจปลูกเป็นกลุ่ม ให้เกิดเป็นพุ่มก็ได้ ดอกของผกากรองมีลักษณะสีสันที่สวยงามมาก มีหลายสีตั้งแต่เหลือง ชมพูและม่วง


2.Rose
กุหลาบ มีชื่อวิทยาศาสตร์ Rosa hybrids ชื่อสามัญคือ กุหลาบ หรือ rose อยู่ในวงศ์: Rosaceae มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชีย ในภาษาเปอร์เซีย แปลว่าสีแดง กุหลาบเป็นไม้ตัดดอกที่มีการปลูกเป็นการค้ากันแพร่หลายทั่วโลกมานานแล้ว กุหลาบเป็นไม้ตัดดอกที่มีการซื้อขาย เป็นอันดับหนึ่งในตลาดประมูลอัลสเมีย ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นตลาดประมูลไม้ดอก ที่ใหญ่ที่สุดของโลก เมื่อ พ.ศ. 2542 มีการซื้อขายถึง 1,672 ล้านดอก และมักจะมียอดขายสูงสุดในประเทศต่าง ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับไม้ดอกชนิดอื่น ๆ โดยประเทศที่ปลูกกุหลาบรายใหญ่ของโลกได้แก่ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน สหรัฐอเมริกา โคลัมเบีย เอกวาดอร์ อิสราเอล เยอรมนี เคนยา ซิมบับเว เบลเยียม ฝรั่งเศส เม็กซิโก แทนซาเนีย และมาลาวี เป็นต้น

1.Dendrobium
กล้วยไม้สกุลหวาย (Dendrobium) เป็นกล้วยไม้สกุลใหญ่ที่สุด มีการแพร่กระจายพันธุ์ออกไปในบริเวณกว้างทั้งในทวีปเอเชียและหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก นักพฤกษศาสตร์ได้จำแนกออกเป็นหมู่ประมาณ 20 หมู่ และรวบรวมกล้วยไม้ชนิดนี้ที่ค้นพบแล้วได้ประมาณ 1,000 ชนิดพันธุ์ กล้วยไม้สกุลหวาย มีลักษณะการเจริญเติบโตแบบซิมโพเดียล คือ มีลำลูกกล้วย เมื่อลำต้นเจริญเติบโตเต็มที่แล้วจะแตกหน่อเป็นลำต้นใหม่และเป็นกอ ใบแข็งหนาสีเขียว ดอกมีลักษณะทั่วไปของกลีบชั้นนอกคู่บนและคู่ล่างขนาดยาวพอๆ กันโดยกลีบชั้นนอกบนจะอยู่อย่างอิสระเดี่ยวๆ ส่วนกลีบชั้นนอกคู่ล่างจะมีส่วนโคน ซึ่งมีลักษณะยื่นออกไปทางด้านหลังของส่วนล่างของดอกประสานเชื่อมติดกับฐานหรือสันหลังของเส้าเกสร และส่วนโคนของกลีบชั้นนอกคู่ล่างและส่วนฐานของเส้าเกสรซึ่งประกอบกันจะปูดออกมา มีลักษณะคล้ายเดือยที่เรียกว่า "เดือยดอก" สำหรับกลีบชั้นในทั้งสองกลีบมีลักษณะต่างๆ กันแล้วแต่ชนิดพันธุ์ของกล้วยไม้นั้นๆ

แหล่งอ้างอิง                                                                             
                                                                                                                  http://campus.sanook.com/1220384/10-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94/

ไม่จำเป็นต้องใช้ยาก็สุขภาพดีได้

บางครั้งการรักษาโรคด้วยการทานยาในจำนวนที่มากเกินไปก็ส่งผลทำให้สุขภาพแย่ได้ แต่มีบางสิ่งที่สามารถช่วยบรรเทาอาการป่วยได้โดยไม่ต้องใช้วิธีทานยา ไปดูกันค่ะว่ามีอะไรบ้าง






อาการไอ ทดแทนด้วยน้ำผึ้ง ซึ่งน้ำผึ้งมีสรรพคุณแก้ไอลดอาการระคายเคืองในลำคออีกทั้งยังช่วยขับเสมหะในปอด และถ้านำน้ำอุ่นกับน้ำมะนาวผสมเข้าด้วยกันแล้วดื่มจะกลายเป็นเครื่องดื่มยามว่างที่อร่อยรสชาติดีทีเดียว






อาการนอนไม่หลับ ทดแทนด้วยการเปลี่ยนเวลานอน หลายคนเคยได้ยินคำว่าหนามหยอกให้เอาหนามบ่ง ในที่นี้คือบางคนนอนไม่หลับจนต้องพึ่งยานอนหลับ ลองทำดูน่ะค่ะ คุณลองเปลี่ยนเวลานอนใหม่ เช่น ปกตินอนเวลา 20.00 น. คุณลองเข้านอนประมาณ20.30น. ร่างกายคุณจะเหนื่อยและหลับได้เร็วขึ้น





อาการปวดหลัง ทดแทนด้วยการเล่นโยคะ เพราะโยคะจะทำให้เส้นสายทั้งตัวยืดหยุ่นดี ไม่เพียงช่วยเรื่องกระดูกสันหลังที่แข็งแรงอย่างเดียวแต่ยังช่วย ปอด ตับ ม้าม และระบบการหายใจดีขึ้นอีกด้วยแค่นี้ก็ไม่ต้องพึ่งยาแก้ปวดให้ระคายเคืองกระเพาะอาหารแล้ว







อาการท้องผูก ทดแทนด้วยการล้างพิษด้วยน้ำมะนาวสดครึ่งผลผสมน้ำหนึ่งแก้วทุกเช้าหลังตื่นนอน จะช่วยให้ลำไส้บีบตัวปัญหาเรื่องท้องผูกเรื้อรังที่รบกวนคุณก็จะลดลง ที่สำคัญไปว่านั้นมะนาวช่วยล้างพิษในลำไส้ได้ดีที่สุดและทำให้ไม่มีสารตกค้างที่ส่งผลทำให้เป็นสิว ไมเกรน และผิวพรรณหมองคล้ำ อยู่ในลำไส้

แหล่งอ้างอิง